นางปฏิมา ชวลิต เจ้าหน้าที่บริหารระดับ Senior Vice President สายงานทรัพยากรบุคคล (ที่ 3 จาก ขวา) และนางสาวนุชจรี ภูมิภัทรพงศ์ (ที่2 จากขวา) ผู้จัดการสาขาเมืองพัทยา พร้อมคณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) นำปฏิทินตั้งโต๊ะที่รวบรวมได้จากเพื่อนพนักงานทั่วประเทศใน ‘โครงการปฎิทินเก่าของคุณมีค่า...อย่าทิ้ง’ ปีที่7 จำนวนกว่า 15,000 ชุด ส่งมอบให้กับบาทหลวงภัทรพงศ์ ศรีวรกุล (ที่4 จากซ้าย) ประธานมูลนิธิคุณพ่อเรย์ โรงเรียนสอนคนตาบอด พระมหาไถ่พัทยาในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จังหวัดชลบุรี เพื่อนาไปจัดทำหนังสืออักษรเบรลล์และสื่อการเรียนการสอนให้กับเด็กพิการทางสายตา สำหรับปฏิทินตั้งโต๊ะนับเป็นเครื่องใช้สำนักงานที่มีระยะเวลาการใช้งาน เมื่อปฏิทินของปีใหม่มาถึงปฏิทินเก่าก็จะถูกกำจัดไปตามกระบวนการ ทั้งนี้ ด้วยกระดาษที่นำมาผลิตปฏิทินตั้งโต๊ะเป็นกระดาษหนา จึงมีคุณสมบัติและความเหมาะสมในการนำมาผลิตหนังสืออักษรเบรลล์ที่จะเป็นประโยชน์ต่อไป พร้อมกันนี้ ธนาคารได้จัดกิจกรรมเลี้ยงอาหารกลางวันและไอศกรีมแก่นักเรียนเพื่อมอบความสุขสำราญแก่น้องๆ นักเรียน นับเป็นการสร้างสรรค์โครงการที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมที่ธนาคารกรุงเทพดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง

นายปณิต ตุลย์วัฒนจิต ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ (ขวา) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนามกับ นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (กลาง) และนายกวิน กาญจนพาสน์ กรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) (ซ้าย) ในสัญญาสนับสนุนวงเงินสินเชื่อ 2,453 ล้านบาท เพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการ คอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ เดอะ ไลน์ 2 โครงการ ประกอบด้วย โครงการ เดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา (THE LINE Asoke-Ratchada) คอนโดมิเนียมสูง 38 ชั้น จำนวน 473 ยูนิต เพียง 300 เมตรจาก MRT พระราม 9 ที่นับเป็นย่านศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ (New CBD) ภายใต้คอนเซ็ปต์โครงการ Balance is Everything มูลค่าโครงการ 2,900 ล้านบาท และโครงการ เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 101 (THE LINE Sukhumvit 101) คอนโดมิเนียมสูง 37 ชั้น จำนวน 778 ยูนิต ใกล้รถไฟฟ้า BTS ปุณณวิถี เพียง 250 เมตร และทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ทางด่วนขั้น 1) ภายใต้คอนเซ็ปต์โครงการ FREEDOM IN EVERYTHING มูลค่าโครงการ 4,200 ล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการพัฒนาคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยในทำเลใจกลางเมือง

นางสาวพจณี คงคาลัย (ขวา) และนายเคลวิน ฟู (ซ้าย) ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ให้การต้อนรับ นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (กลาง) นายภวัต เลิศมุกดา รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี (ที่ 2 จากซ้าย) และนายสันติ วิริยะรังสฤษฎ์ ประธานจัดงาน (ที่ 2 จากขวา) ในโอกาสเป็ นประธานพิธีเปิดและเยี่ยมชมบูธธนาคารกรุงเทพ ในงานมหกรรมการเงินพัทยา ครั้งที่ 7 หรือ Money Expo Pattaya 2017 โดยธนาคารนำ เสนอความเป็นเลิศด้านดิจิทัล แบงก์กิ้ง ด้วยแนวคิด ‘Bangkok Bank Digital Life Inspired : ตอบโจทย์ทุกแรง บันดาลใจ สู่ชีวิตรูปแบบดิจิทัล’ พร้อมด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่ทันสมัย ตอบโจทย์รูปแบบการใช้ชีวิตดิจิทัล ให้คุณใช้บริการทางการเงินได้ทุกที่ทุกเวลา ด้วยความมั่นใจและปลอดภัย ซึ่งสะท้อนความพร้อมของธนาคารในการตอบสนองความต้องการที่สอดรับกับการดำเนินชีวิตในรูปแบบดิจิทัลมากยิ่งขึ้น

นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ที่5 จากซ้าย) พร้อมด้วยนายวีระศักดิ์ สุตัณฑวิบูลย์ (ขวา) นายศิริเดช เอื้องอุดมสิน (ที่2 จากซ้าย) นางรัชนี นพเมือง (ซ้าย) นายไชยฤทธิ์ อนุชิตวรวงศ์ (ที่2 จากขวา) รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ให้การต้อนรับ ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ที่3 จากซ้าย) พลเอกวิชิต ยาทิพย์ นายกสมาคมมิตรภาพไทย-กัมพูชา (ที่ 5 จากขวา) นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ประธานสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา (ที่4 จากขวา) นายเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (กลาง) และนายทวีกิจ จตุรเจริญกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ที.เค.การ์เม้นท์ จำกัด (ที่ 3 จากขวา) ในโอกาสให้ เกียรติกล่าวเปิดงานและเป็นวิทยากร ในพิธีเปิดการอบรมหลักสูตรผู้นำนักธุรกิจแห่งอาเซียน AEC Business Leader Program รุ่นที่ 2 หลักสูตรการอบรมเชิงปฏิบัติการแบบเข้มข้น โดยนำ องค์ความรู้ทั้งหมดที่ธนาคารสั่งสมประสบการณ์ในการทำธุรกิจในภูมิภาค มาออกแบบให้เหมาะสำหรับนักธุรกิจและผู้ประกอบการไทยที่ต้องการบุกเบิกและก้าวสู่สนามการค้า AEC ซึ่งในหลักสูตรรุ่นนี้จะเน้นเจาะลึกตลาดประเทศกัมพูชา โดยมีนักธุรกิจชาวไทย และชาวกัมพูชาที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจมาแบ่งปันประสบการณ์ ซึ่งธนาคารได้คัดเลือกผู้บริหารระดับสูง และทายาทธุรกิจทั้งสิ้น 45 คน มาเข้าอบรมเป็นระยะเวลา 9 สัปดาห์ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน 2560

ธนาคารกรุงเทพประสบความสำเร็จจากการจัดอบรมหลักสูตรผู้นำนักธุรกิจแห่งอาเซียน ‘AEC Business Leader Program’ พร้อมเปิดรุ่นที่ 2 หวังปูทางและเสริมศักยภาพผู้ประการไทยก้าวสู่สนามการค้า AEC ได้อย่างมั่นใจ โดยมีผู้บริหารระดับสูง และทายาทธุรกิจ ที่ได้ผ่านการคัดเลือกทั้งหมด 45 คน ที่สามารถผ่านเข้าร่วมอบรม เพื่อก้าวเป็นนักธุรกิจชั้นนำรุ่นใหม่แห่งภูมิภาคอาเซียน

นายไชยฤทธิ์ อนุชิตวรวงศ์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้อำนวยการ หลักสูตร AEC Business Leader กล่าวว่า ธนาคารประสบความสำเร็จและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากการเปิดตัว ‘หลักสูตรผู้นำ นักธุรกิจแห่งอาเซียน AEC Business Leader Program’ หลักสูตรการอบรมเชิงปฏิบัติการแบบเข้มข้น สำหรับนักธุรกิจและผู้ประกอบการไทย ที่ต้องการบุกเบิกและก้าวสู่สนามการค้า AEC โดยในครั้งนี้มีผู้บริหารและทายาทธุรกิจ จากบริษัทไทยที่มีศักยภาพและมีวิสัยทัศน์ในการบุกเบิกตลาดอาเซียน ซึ่งเป็นตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วและเป็นกำลังกลายเป็นฐานผลิตที่สำคัญของโลก

ธนาคารกรุงเทพจึงออกแบบหลักสูตรโดยนำองค์ความรู้ทั้งหมดที่ธนาคารสั่งสมประสบการณ์ในการทำธุรกิจในภูมิภาคมาอย่างยาวนานเพื่อต่อยอดธุรกิจให้กับผู้ประกอบการชาวไทยที่ต้องการบุกเบิกธุรกิจเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้าน อีกทั้งผสมผสานประสบการณ์จากนักธุรกิจชั้นนำของภูมิภาคที่ประสบความสำเร็จ การสร้างความสัมพันธ์ในการเชื่อมเครือข่ายพันธมิตรธุรกิจ และการพัฒนาศักยภาพผู้บริหารให้เต็มเปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์และมุมมองแห่งอาเซียน

โดยในแต่ละรุ่นของการอบรม จะผนวกกรณีศึกษาของการทำธุรกิจในแต่ละประเทศอาเซียนที่ประสบความสำเร็จ เช่นในรุ่นที่ 1 เราเน้นไปที่ประเทศเมียนมา ส่วนในรุ่นที่ 2 จะเน้นที่ประเทศกัมพูชา เนื่องจากมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจ โดยธนาคารโลกคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจกัมพูชาในปี 2560 จะโตร้อยละ 6.9 และในปี 2561 เศรษฐกิจจะโตร้อยละ 6.8 นอกจากนี้รัฐบาลกัมพูชาได้ปรับปรุงนโยบายการค้าการลงทุนที่เอื้อต่อนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมการผลิต โดยมุ่งเน้นอุตสาหกรรมจากภาคการผลิตสินค้าราคาถูกและใช้แรงงานมาก รวมถึงเน้นส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือ SME

นายไชยฤทธิ์ ระบุว่าหลักสูตร AEC Business Leader โดดเด่นด้วยเนื้อหาของการพัฒนาศักยภาพผู้บริหาร ในการดำเนินธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนภายใต้บริบทใหม่ของการค้าภายใต้ความร่วมมือเออีซี โดยในหลักสูตรมีทั้งการเสริมสร้างแนวคิดบริหารองค์กรในยุค 4.0 การสร้างสรรค์กลยุทธ์ตลาด การสร้างแบรนด์ และการพัฒนาทักษะของการเป็นผู้บริหารแห่งอาเซียนรุ่นใหม่ ภายใต้บริบทการค้าการลงทุนที่เปลี่ยนไป ซึ่งสามารถนามาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจภายในองค์กร การดำเนินธุรกิจระดับภูมิภาค และระดับสากล และนอกจากนี้หลักสูตรผู้นาธุรกิจแห่งอาเซียนนี้ยังถูกออกแบบเพื่อให้ผู้อบรมได้ประมวลสิ่งที่ได้รับจากการอบรม และการลงพื้นที่สำรวจตลาดการค้าการลงทุนในภูมิภาคมาจัดทำแผนธุรกิจ โดยผู้ร่วมอบรมในแต่ละทีมจะได้ลงมือคิดและใช้ความรู้ที่ได้รับตลอดการอบรมมาสร้างแผนธุรกิจที่ทำได้จริง ซึ่งจะตัดสินโดยนักธุรกิจที่ได้รับการยอมรับ ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิจากสาขาต่างๆ ร่วมคัดเลือกทีมชนะเลิศ ดังนั้น AEC Business Leader จึงเป็นหลักสูตรที่จะตอบโจทย์การก้าวสู่ ‘ผู้บริหารตัวจริงรุ่นใหม่แห่งภูมิภาคอาเซียน’

หลักสูตรในรุ่นที่ 2 นี้ มีผู้ให้ความสนใจและสมัครเข้าร่วมอบรมล้นหลาม ซึ่งธนาคารได้คัดเลือกผู้บริหารระดับสูง และทายาทธุรกิจทั้งสิ้น 45 คน จากบริษัทที่มีศักยภาพสูงและมีวิสัยทัศน์กล้างไกลในการบุกเบิกตลาดอาเซียน โดยการอบรมจะมีขึ้นทุกวันเสาร์ รวมระยะเวลา 9 สัปดาห์ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน 2560 พร้อมลงพื้นที่ศึกษาดูงานที่ประเทศกัมพูชา และสารวจท่าเรือน้ำลึก ที่เมืองสีหนุวิลล์ ซึ่งเป็นความหวังในการพัฒนาเศรษฐกิจของกัมพูชา โดยรัฐบาลกัมพูชาตั้งเป้าจะพัฒนาท่าเรือน้ำลึกแห่งนี้ให้เป็นท่าเรือน้ำลึกระดับโลก เป็นประตูการค้าที่จะเชื่อมสู่อเมริกา ยุโรป ฮ่องกง อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไทย และเวียดนาม

“ปัจจุบันนักธุรกิจไทยให้ความสนใจลงทุนทำธุรกิจในประเทศอาเซียนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV ประกอบด้วย กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม ซึ่งการทำธุรกิจในอาเซียนนั้น แม้จะมีข้อได้เปรียบในเรื่องของต้นทุนกับค่าแรง แต่การทำธุรกิจในแต่ละประเทศอาจไม่สามารถใช้แบบแผนเดียวกันทั้งหมดได้ เนื่องจากมีความเฉพาะตัวที่ต่างกัน ดังนั้น การจะก้าวสู่ความเป็นนักธุรกิจชั้นนำแห่งภูมิภาคอาเซียน ต้องมีองค์ประกอบหลายประการเพื่อให้เข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง ทั้งเศรษฐกิจ นโยบาย กฎระเบียบ เส้นทางขนส่ง รวมถึงยังต้องเข้าใจผู้คนด้วย ซึ่งองค์ประกอบของหลักสูตรที่ออกแบบมาด้วยความตั้งใจนี้ ธนาคารกรุงเทพจึงมั่นใจว่าสนับสนุนให้นักธุรกิจรุ่นใหม่ให้ก้าวสู่สนามการค้าเออีซีอย่างมั่นใจและประสบความสำเร็จ” นายไชยฤทธิ์ กล่าว

ธนาคารกรุงเทพกำหนดจัดอบรมหลักสูตรผู้นำนักธุรกิจแห่งอาเซียน AEC Business leader ปีละ 2 รุ่น โดยจะเริ่มเรียนทุกไตรมาสที่ 1 และไตรมาสที่ 4 ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดได้ทางเว็บไซต์ของธนาคารกรุงเทพ www.bangkokbank.com หรือติดต่อศูนย์ AEC Connect เบอร์โทรศัพท์ 0-2230-1507 และ 0-2230-2758 หรืออีเมล AECconnect@bbl.co.th

นายเดชา ตุลานันท์ รองประธานกรรมการบริหาร (ที่ 4 จากขวา) พลเรือเอกประเจตน์ ศิริเดช กรรมการธนาคาร (ที่ 4 จากซ้าย) นายสุวรรณ แทนสถิตย์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ (ที่ 3 จากขวา) นายทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ (ขวาสุด) และนางรัชนี นพเมือง รองผู้จัดการใหญ่ (ที่ 2 จากขวา) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ส่งมอบเงินที่ได้รับบริจาคจากลูกค้าและประชาชนร่วมกับธนาคารกรุงเทพผ่านบัญชีที่ธนาคารเปิดขึ้นจำนวน 7,224,397.67 บาท (เจ็ดล้านสองแสนสองหมื่นสี่พันสามร้อยเก้าสิบเจ็ดบาทหกสิบเจ็ดสตางค์) โดยมี พลเรือตรี วศินสรรพ์ จันทวรินทร์ ผู้บัญชาการฐานทัพเรือกรุงเทพ กองทัพเรือ (ที่ 3 จากซ้าย) และคณะ เป็นตัวแทนรับมอบ เพื่อนำไปช่วยเหลือ เยียวยา และฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ที่ได้รับความเสียหายให้กลับสู่สภาพคงเดิม นับเป็นกิจกรรมที่ธนาคารได้ดำเนินการโดยใช้ช่องทางบริการทางการเงินในการระดมเงินบริจาค สำหรับในส่วนของธนาคารกรุงเทพได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือเร่งด่วนไปในเบื้องต้นหลากหลายรูปแบบ รวมถึงการมอบเงินจำนวน 10,000,000.00 บาท (สิบล้านบาทถ้วน) ผ่าน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในงาน ‘ประชารัฐร่วมใจ ช่วยอุทกภัยภาคใต้’ การเปิดบัญชี ‘ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้’ เลขที่ 101-3-47022-2 สาขาสำนักงานใหญ่สีลม การยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนเงินข้ามเขตในทุกบัญชี ทั้งของธนาคารและพันธมิตรที่เปิดรองรับการบริจาค

นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ที่ 2 จากซ้าย) นายวีระศักดิ์ สุตัณฑวิบูลย์ รองผู้จัดการใหญ่ (ขวา) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ร่วมสนับสนุนงานสัมมนาวิชาการ ‘Impact of EV to Thai Industry’ ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมโพลิเมอร์แห่งประเทศไทย พร้อมขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อ ‘Empowering Industries of the Future: the Role of Financial Institutions’ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ ศ.ดร. บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ที่ 4 จากขวา) ดร.บัญชา ชุณหสวัสดิกุล ประธานสาขายาง สมาคมโพลิเมอร์แห่งประเทศไทย (ที่ 3 จากซ้าย) นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย รองเลขาธิการ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (ที่ 3 จากขวา) ร่วมแบ่งปันความรู้ ความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มการพัฒนา และผลกระทบของรถไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) ต่ออุตสาหกรรมในประเทศ การพัฒนาและควบคุมระบบ EV แรงจูงใจของ BOI ในการลงทุนอุตสาหกรรม EV ในประเทศไทย และผลกระทบของ EV ต่อ supply chain อุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศ โดยมีนักธุรกิจและบุคคลชั้นนาทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาเข้าร่วมรับฟังการสัมมนา

นายเดชา ตุลานันท์ รองประธานกรรมการบริหาร (กลางซ้าย) พร้อมนายอภิชาต รมยะรูป ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท (ที่ 2 จากซ้าย) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ร่วมมอบเงินจำนวน 1,000,000 (หนึ่งล้านบาทถ้วน) แก่มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยมีท่านผู้หญิงสุมาลี จาติกวนิช ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ (กลางขวา) ศาสตราจารย์นายแพทย์ ปริญญา สากิยลักษณ์ รองประธานคนที่ 1 (ที่ 3 จากขวา) นายวัลลภ เจียรวนนท์ รองประธานคนที่ 2 (ที่ 3 จากซ้าย) และศาสตราจารย์นายแพทย์เกียรติคุณ ศุภชัย ไชยธีระพันธ์ เลขาธิการ (ที่ 2 จากขวา) ร่วมรับมอบ เพื่อเป็นทุนสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมของมูลนิธิฯ ที่ธนาคารกรุงเทพได้สนับสนุนเงินจำนวนดังกล่าวต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 และเป็นประจำทุกปีที่ธนาคารกรุงเทพร่วมกับมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ดำเนินการจัดนิทรรศการ ‘ใต้ร่มพระบารมี เพื่อหัวใจไทย วันหัวใจโลก’ ด้วยตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลรักษา และป้องกันโรคหัวใจที่เป็นโรคเสี่ยงลำดับต้นๆ ของคนไทย ภายในนิทรรศการมีบริการตรวจสุขภาพเพื่อประเมินภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ การเสวนาเกี่ยวกับสุขภาพหัวใจ การสาธิตการออกกำลังกาย พร้อมเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจากโครงการที่ได้รับการรับรองและอนุญาตให้ใช้ตราสัญลักษณ์ ‘อาหารรักษ์หัวใจ’ อาทิ ผลิตภัณฑ์ธัญชาติ อาหารทะเล เนื้อสัตว์ นม ถั่ว น้ำมันและไขมัน ผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ระหว่างวันที่ 1-3 กุมภาพันธ์ 2560 ณ ลานด้านหน้าอาคารสำนักงานใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ถนนสีลม

นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ที่ 2 จากซ้าย) ได้รับเกียรติจาก ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (กลาง) ร่วมถ่ายภาพพร้อมคณะผู้บริหารระดับสูงที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาบริการพร้อมเพย์ของธนาคาร ประกอบด้วย นางสาวสุธีรา ศรีไพบูลย์ รองผู้จัดการใหญ่ (ที่ 2 จากขวา) นางปรัศนี อุยยามะพันธ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ (ขวา) และนายกึกก้อง รักเผ่าพันธุ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ (ซ้าย) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ในงานแถลงข่าวความคืบหน้าโครงการตามยุทธศาสตร์ National e-Payment และการเปิดให้บริการพร้อมเพย์อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2560 ที่ผ่านมา ณ กระทรวงการคลัง โดยธนาคารกรุงเทพพร้อมให้บริการโอนเงินพร้อมเพย์ครบทั้ง 3 ช่องทาง ได้แก่ บัวหลวงเอทีเอ็ม บัวหลวง เอ็มแบงก์กิ้ง และบัวหลวง ไอแบงก์กิ้ง สำหรับผู้ยังไม่ได้ลงทะเบียนสามารถใช้เลขประจำตัวประชาชน หรือโทรศัพท์มือถือลงทะเบียนพร้อมเพย์ได้อย่างง่ายดายถึง 6 ช่องทาง ได้แก่ บัวหลวงเอทีเอ็ม บัวหลวงเอ็มแบงก์กิ้ง บัวหลวงไอแบงก์กิ้ง บัวหลวงโฟน 1333 เว็บไซต์ www.bangkokbank.com/PromptPay และที่ทำการสาขาทั่วประเทศ สะดวก ปลอดภัย มั่นใจ ใช้พร้อมเพย์ รับ-โอนเงินแบบง่ายๆ ได้แล้ววันนี้

ดร.ทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) มอบรางวัล E-Money มูลค่า 1,000,000 บาท แก่นายจักรกฤษณ์ กงจี่ ลูกค้าผู้โชคดีที่ได้รับรางวัลใหญ่จากแคมเปญ ‘ธนาคารกรุงเทพ พร้อมเพย์ และบัวหลวง เอ็มแบงก์กิ้ง แจกเป็นล้าน’ ทั้งนี้ ลูกค้าที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนพร้อมเพย์สามารถใช้เบอร์โทรศัพท์มือถือ หรือเลขประจำตัวประชาชนลงทะเบียนธนาคารกรุงเทพ พร้อมเพย์ ผ่าน 6 ช่องทางของธนาคาร ได้แก่ บัวหลวงเอทีเอ็ม บัวหลวง เอ็มแบงก์กิ้ง บัวหลวง ไอแบงก์กิ้ง บัวหลวงโฟน 1333 เว็บไซต์ www.bangkokbank.com/PromptPay และทุกสาขาทั่วประเทศ โดยไม่มีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดการลงทะเบียน เพื่อใช้รับเงินโอนพร้อมเพย์ ที่จะเปิดให้บริการในเร็วๆ นี้

ธนาคารกรุงเทพ จัดสรรเงินสดสำรองไว้ให้บริการแก่ลูกค้าในช่วงเทศกาลตรุษจีนกว่า 35,000 ล้านบาท ผ่านสาขาธนาคาร สาขาไมโครกว่า 1,000 แห่ง และตู้เอทีเอ็มอีกกว่า 10,000 จุดทั่วประเทศ ที่พร้อมให้บริการเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่มีจำนวนมากขึ้น พร้อมกำหนดแผนดูแลการเติมเงินสดในตู้เอทีเอ็มเป็นพิเศษ

รายงานข่าวจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ปี 2560 ทางธนาคารได้มีการสำรองเงินสดไว้ให้บริการแก่ลูกค้าเพิ่มเติมจากภาวะปกติโดยรวมทั้งสิ้นประมาณ 35,000 ล้านบาท ผ่านสาขาธนาคาร สาขาไมโครภายในห้างสรรพสินค้ากว่า 1,000 แห่ง และช่องทางบริการเอทีเอ็มที่มีกว่า 10,000 จุดทั่วประเทศ เพื่อรองรับปริมาณความต้องการเงินสดของประชาชนสำหรับใช้จ่ายในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ พร้อมสำรองธนบัตรใหม่บางส่วนสำหรับใช้เป็นเงินอั่งเปามอบเป็นธรรมเนียมในเทศกาลปีใหม่จีน

นอกจากนี้ ทางธนาคารยังได้เตรียมความพร้อมสำหรับดำเนินการเพิ่มความถี่ในการเติมเงินยังตู้บัวหลวงเอทีเอ็มเป็นกรณีพิเศษอีกด้วย เพราะฉะนั้นลูกค้าของธนาคารจึงมั่นใจได้ว่าจะสามารถเบิกถอนเงินสดมาใช้ในช่วงเทศกาลดังกล่าวได้อย่างสบายใจ

ธนาคารกรุงเทพและบริษัทย่อยรายงานกำไรสุทธิปี 2559 จำนวน 31,815 ล้านบาท เทียบกับ 34,181 ล้านบาทในปีก่อนหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวอย่างช้าๆ โดยคาดว่าในระยะต่อไปเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในทิศทางขยายตัวตามแรงส่งจากการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ แต่ยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนจากภาวะเศรษฐกิจโลก ขณะที่การบริโภคและลงทุนภาคเอกชนในประเทศมีแนวโน้มเติบโตในระดับต่ำ ธนาคารจึงยังคงยึดหลักความระมัดระวังโดยการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญอย่างต่อเนื่องควบคู่กับการบริหารสินเชื่อด้อยคุณภาพให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม พร้อมทั้งรักษาเงินกองทุนให้อยู่ในระดับที่ดี สามารถรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต เพื่อให้ธนาคารมีเสถียรภาพทางการเงินที่ยั่งยืน

ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2559 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อจำนวน 1,941,093 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72,190 ล้านบาท หรือร้อยละ 3.9 จากสิ้นปี 2558 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่และ รายกลาง สินเชื่อลูกค้าบุคคล และสินเชื่อกิจการต่างประเทศ แม้ว่าเงินให้สินเชื่อเพิ่มขึ้น แต่ธนาคารยังคงรักษาอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ร้อยละ 89.1 ใกล้เคียงกับปีก่อน สำหรับสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2559 มีจำนวน 68,841 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 3.2 ของเงินให้สินเชื่อรวม ซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจไทยที่ค่อยๆ ฟื้นตัว จึงส่งผลต่อภาคธุรกิจที่ต้องใช้เวลาในการปรับตัว ทั้งนี้ ธนาคารยังคงติดตามดูแลคุณภาพสินเชื่ออย่างใกล้ชิดและตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2559 เงินสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของธนาคารยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 119,518 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 6.2 ของเงินให้สินเชื่อ และในปี 2559 ค่าใช้จ่ายหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญมีจำนวน 15,728 ล้านบาท

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2559 เมื่อเทียบกับปี 2558 ธนาคารมีกำไรสุทธิจำนวน 31,815 ล้านบาท ลดลง 2,366 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.9 โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 63,998 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,488 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.3 และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 2.34 เป็นผลจากการบริหารต้นทุนเงินรับฝากให้ลดลง สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 41,860 ล้านบาท ลดลง 3,359 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.4 ส่วนใหญ่มาจากกำไรจากการจำหน่ายสินทรัพย์และกำไรสุทธิจากเงินลงทุนลดลง ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้น 421 ล้านบาท ส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมจากบริการอิเล็กทรอนิกส์และการโอนเงิน บริการธุรกิจหลักทรัพย์ ค่าธรรมเนียมจากการอำนวยสินเชื่อ และบริการด้านหลักทรัพย์ สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานมีจำนวน 50,505 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,460 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.1 รายการที่สำคัญ ได้แก่ ค่าใช้จ่าย อื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายประมาณการหนี้สินสำหรับภาระผูกพัน และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานเพิ่มขึ้น

ด้านเงินกองทุน ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนอยู่ในระดับที่ดีสามารถรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต ซึ่งหากนับรวมกำไรสุทธิสำหรับงวดกรกฎาคมถึงธันวาคม 2559 เข้าเป็นเงินกองทุน อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้น อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยจะอยู่ในระดับประมาณร้อยละ 19.1 ร้อยละ 17.2 และ ร้อยละ 17.2 ตามลำดับ สำหรับส่วนของเจ้าของ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 มีจำนวน 379,016 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 12.9 ของสินทรัพย์รวม และมูลค่าตามบัญชีเท่ากับ 198.56 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 9.00 บาท จากสิ้นปี 2558

ธนาคารกรุงเทพ เชิญชวนเยาวชนไทยสร้างวินัยการออมด้วยการฝากเงินเป็นประจำเท่ากันทุกเดือน ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 24 เดือนขึ้นไป กับบัญชีเงินฝากสินมัธยะทรัพย์ทวี–บัวหลวงคิดส์ และสินมัธยะทรัพย์ทวี ที่สามารถรับอัตราดอกเบี้ยพิเศษที่สูงกว่าเงินฝากประจำทั่วไป อีกทั้งยังได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้จากดอกเบี้ย เมื่อฝากครบตามเงื่อนไข พิเศษสำหรับผู้เปิดบัญชีดังกล่าวตั้งแต่ 500 บาทขึ้นไปสามารถรับกระปุกพอเพียง ฟรี! ตั้งแต่ 14 มกราคม - 31 มีนาคม 2560 หรือจนกว่ากระปุกจะหมด

ดร.ทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารได้จัดกิจกรรมเชิญชวนเยาวชนให้เกิดจุดเริ่มต้นสร้างวินัยการออมเงินให้เกิดขึ้นกับตนเอง ด้วยการฝากเงินเป็นประจำเท่ากันทุกเดือนเป็นระยะเวลาต่อเนื่องกัน 24 เดือนขึ้นไป กับบัญชีเงินฝาก สินมัธยะทรัพย์ทวี–บัวหลวงคิดส์ ฝากเงินเดือนละ 500 บาท และสินมัธยะทรัพย์ทวี ฝากเงินเดือนละ 1,000 บาท พร้อมรับสิทธิพิเศษด้านอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารมอบให้สูงกว่าเงินฝากประจำทั่วไป อีกทั้งยังได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้จากดอกเบี้ยที่ได้รับ เมื่อฝากครบตามที่ได้กำหนด

ธนาคารเห็นความสำคัญในการมีส่วนร่วมช่วยกระตุ้นและปลูกฝังให้บุตรหลานรู้จักการออมตั้งแต่ยังเด็ก นอกจากสิทธิพิเศษด้านอัตราดอกเบี้ยที่มอบให้แล้ว ธนาคารได้จัดทำเครื่องมือในการสร้างวินัยการออมด้วยการจัดทำกระปุกพอเพียง มอบเป็นของขวัญให้กับผู้เปิดบัญชีเงินบฝากสินมัธยะทรัพย์ทวี-บัวหลวงคิดส์ และสินมัธยะทรัพย์ทวี โดยการฝากเงินจะต้องดำเนินการเป็นประจำทุกเดือนในจำนวนที่เท่ากันตามที่ได้ตกลงไว้กับธนาคาร สามารถดำเนินการได้ในทุกช่องทางทั้งที่สาขาธนาคารหรือผ่านเครื่อง บัวหลวงเอทีเอ็ม เครื่องรับฝากเงินสดอัตโนมัติ บริการบัวหลวงโฟน บริการบัวหลวง ไอแบงก์กิ้ง บริการ บัวหลวง เอ็มแบงก์กิ้ง หรือบริการโอนเงินตามคำสั่ง (Standing Order Service) โดยนำฝากต้องไม่เกินวันทำการสุดท้ายของธนาคารในเดือนนั้นๆ เพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขและข้อบังคับในการยกเว้นภาษี

ธนาคารกรุงเทพ เดินหน้าสานต่อการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ด้วยความเป็น “มิตรคู่บ้าน” จัดเตรียมวงเงิน 10,000 ล้านบาท ออกมาตรการผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ย และการสนับสนุนสินเชื่อเพิ่มเติม ทั้งกับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางตรงและทางอ้อม พร้อมออกลุยพื้นที่เยี่ยมเยียนให้คำแนะนำ ที่จะเป็นแนวทางในการปฏิบัติให้ลูกค้าสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาดังกล่าวได้อย่างราบรื่นรวมถึงการเปิดบัญชีรับเงินบริจาคจากลูกค้าและประชาชนทั่วไปเพื่อส่งมอบให้กองทัพเรือ โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนข้ามเขตทุกช่องทาง

นายสุวรรณ แทนสถิตย์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เพื่อความต่อเนื่องในการให้ความช่วยเหลือ และบรรเทาความเดือดร้อนของลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่หลายจังหวัดภาคใต้ ธนาคารได้ออกมาตรการช่วยเหลือทางการเงินเพิ่มเติมและมอบหมายให้ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ออกพบปะเยี่ยมเยียนพร้อมให้ความช่วยเหลือหรือคำแนะนำที่จะเป็นแนวทางในการปฏิบัติให้ลูกค้าผ่านพ้นช่วงเวลาดังกล่าวได้อย่างราบรื่น สามารถฟื้นฟูชีวิตและดำเนินธุรกิจต่อไป

สำหรับมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้า ธนาคารได้เตรียมไว้ 3 แนวทาง คือ การผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ย และการสนับสนุนสินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของลูกค้าจากผลกระทบของอุทกภัยในขณะนี้ โดยการสนับสนุนให้สินเชื่อเพิ่มเติม วงเงินให้ความช่วยเหลือ 10,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นวงเงินให้สินเชื่อระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี จำนวน 5,000 ล้านบาท และวงเงินให้สินเชื่อระยะยาวไม่เกิน 5 ปี จำนวน 5,000 ล้านบาท สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการและลูกค้าบุคคลเดิมของธนาคาร ทั้งประเภทสินเชื่อหมุนเวียนเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กิจการ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อสินค้า ค่าแรง และค่าใช้จ่ายในการผลิตอื่นๆ การซื้อสินค้าทดแทน และ/หรือซ่อมแซมปรับปรุงสถานประกอบการหรือที่พักอาศัย และธนาคารพร้อมให้ความช่วยเหลือต่อเนื่องหลังน้ำลด โดยธนาคารจะพิจารณาตามสภาพการณ์และความเดือดร้อนของลูกค้าเพื่อเสนอทางออกที่ดีที่สุดสำหรับแต่ละราย ซึ่งลูกค้าสามารถติดต่อขอทราบรายละเอียดและขอใช้บริการดังกล่าวได้ที่สำนักธุรกิจและสาขาของธนาคาร

“ธนาคารตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยที่รุนแรงกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ โดยธนาคารได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือเร่งด่วนไปในเบื้องต้นหลากหลายรูปแบบ อีกทั้งการเปิดบัญชีชื่อ ‘ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้’ เลขที่ 101-3-47022-2 สาขาสำนักงานใหญ่สีลม เพื่อรับเงินบริจาคจากลูกค้าและประชาชนทั่วไป ที่ประสงค์จะแบ่งปันน้ำใจช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยผ่านสาขาทั่วประเทศและช่องทางการให้บริการทางการเงินอื่นๆ โดยธนาคารยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนเงินข้ามเขตในทุกช่องทาง เพื่อนำเงินทั้งจำนวนส่งมอบให้กับกองทัพเรือในการลงพื้นที่ต่อไป” นายสุวรรณ กล่าว