ธนาคารกรุงเทพ ตอกย้ำความแข็งแกร่งในฐานะ Regional Banking และผู้นำด้าน Financial Solutions Provider จับมือ Gojek (โกเจ็ก) แพลตฟอร์มเทคโนโลยีแบบ On Demand ชั้นนำของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นำร่องผ่านความร่วมมือในธุรกิจบริการ e-Wallet ด้วยการเป็นช่องทางเติมเงินเข้า GoPay (โกเพย์) กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์บนแพลตฟอร์ม Gojek ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking เพื่อรองรับดิจิทัลไลฟ์สไตล์ของลูกค้าธนาคารกรุงเทพ และ Gojek ให้ใช้ชีวิตได้ดั่งใจแบบไร้รอยต่อ พร้อมเติมเต็ม Digital Financial Ecosystem ของประเทศ

นายพิพัฒน์ อัสสมงคล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หนึ่งในความมุ่งมั่นสำคัญของธนาคารกรุงเทพในฐานะ Regional Banking คือการมองหาพันธมิตรที่มีศักยภาพโดดเด่นทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค เพื่อร่วมกันส่งมอบบริการที่ดียิ่งขึ้นให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความร่วมมือด้านการพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถตอบโจทย์รูปแบบการใช้ชีวิตวิถีใหม่ยุค New Normal ได้อย่างสมบูรณ์ ขณะเดียวกันต้องสามารถสร้าง Business Advantage ให้พันธมิตรควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดการเงินสด (Cash Management) ให้ดียิ่งขึ้น เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้าน Financial Solutions Provider ของธนาคารได้อย่างชัดเจน

ล่าสุด ธนาคารกรุงเทพได้ขยายความร่วมมือกับ Gojek แพลตฟอร์ม On Demand ชั้นนำของภูมิภาค โดยร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยี Bill Payment 2 Way เพื่อเป็นช่องทางเติมเงินเข้า GoPay ซึ่งเป็นกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์บนแพลตฟอร์ม Gojek ได้แบบ Real Time ผ่าน Bangkok Bank Mobile Banking ทำให้หลังจากเติมเงินและทำการยืนยันตัวตนแล้วลูกค้าจะสามารถชำระค่าบริการต่างๆ ภายในแพลตฟอร์ม Gojek ได้ทันที ทั้งบริการเรียกรถจักรยานยนต์ (GoRide) บริการรับ-ส่งพัสดุ (GoSend) และบริการส่งอาหาร (GoFood) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจที่มีปริมาณความต้องการใช้งานและมีอัตราการเติบโตที่สูงมากในปัจจุบัน จึงช่วยให้ลูกค้าได้รับความสะดวกในการชำระค่าบริการภายในแอปฯ ได้ทันที ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัลที่ลูกค้าส่วนใหญ่มักทำธุรกรรมการเงินผ่าน e-Payment โดยเฉพาะการทำธุรกรรมแบบไร้รอยต่อ หรือ Seamless รวมทั้งช่วยลดความเสี่ยงในการรับเชื้อโรคจากการสัมผัสเงินสด ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความกังวลของผู้บริโภคในปัจจุบัน

“การต่อยอดธุรกิจร่วมกับพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยี และยังมีระบบปฏิบัติงานที่มีศักยภาพสูง จะช่วยเพิ่มความสามารถในการรองรับความต้องการใช้งานได้มากยิ่งขึ้น ทำให้ธุรกิจสามารถส่งมอบบริการที่มีประสิทธิภาพให้แก่ลูกค้า สร้างความพึงพอใจในการใช้งานและเติมเต็ม Digital Experience ที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ในปัจจุบันซึ่งกำลังขับเคลื่อนไปสู่ยุคสังคมไร้เงินสด รวมทั้งสะท้อนถึงความร่วมมือกันของภาคธุรกิจในการเป็นผู้ช่วยขับเคลื่อน Digital Financial Ecosystem ให้มีความสมบูรณ์เพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งนอกจากประสบการณ์ในการใช้งานที่ดีขึ้นแล้ว ลูกค้าธนาคารกรุงเทพ และ Gojek จะได้รับความคุ้มค่าจากการใช้งานเพิ่มขึ้นจากโปรโมชั่นต่างๆ ที่จะมีตามมาอย่างต่อเนื่องภายใต้ความร่วมมือในครั้งนี้ รวมไปถึงการพัฒนาบริการใหม่ๆ เพิ่มเติมร่วมกันในอนาคต เพื่อตอบโจทย์ความต้องการให้กับลูกค้าของทั้ง 2 แพลตฟอร์มอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น” นายพิพัฒน์ กล่าว

นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า การที่ภาคธุรกิจให้ความสำคัญกับการขยายพันธมิตรเพิ่มมากขึ้น จะเป็นหนึ่งโอกาสให้ธุรกิจสามารถเพิ่มฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ได้มากขึ้น รวมทั้งช่วยเร่งการเติบโตของธุรกิจได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งธนาคารกรุงเทพ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการเป็น “เพื่อนคู่คิด” สำหรับลูกค้าทุกกลุ่มธุรกิจ พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างเพื่อมอบโซลูชันส์ทางธุรกิจที่หลากหลายให้ลูกค้า ผ่านบริการที่เป็นเลิศ เทคโนโลยีที่ทันสมัย บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อให้คำแนะนำและสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของลูกค้าทุก Segment ได้อย่างครบวงจรทั้งในปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะบริการในกลุ่ม Transaction Banking ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มบริการ Corporate Cash Management, บริการ Trade Finance, บริการ Supply Chain Finance และบริการ Securities Services

ด้าน นายชรี ชากราวาร์ธี กรรมการผู้จัดการใหญ่ Gojek ประเทศไทย กล่าวว่า ดิจิทัลเพย์เมนต์มีบทบาทสำคัญอย่างมากกับวิชั่นของเราในการมุ่งลดความไม่สะดวกในชีวิตประจำวันของผู้ใช้บริการและส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจเอสเอ็มอีท่ามกลางภาวะโควิด-19 GoPay ได้ช่วยให้ผู้ใช้บริการของเราสามารถใช้บริการแบบไร้เงินสดได้อย่างสะดวกปลอดภัย และตอบโจทย์ไลฟสไตล์เป็นอย่างดี

“ในปีนี้ เรามีแผนที่จะเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจเพย์เมนต์ผ่านทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีและทั้ง Partnership เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีและมอบความสุขในการใช้งานให้ทั้งกับผู้ใช้บริการ Partner ในกลุ่มร้านอาหาร รวมทั้ง Partner ในกลุ่มคนขับ ทั้งนี้ เรายินดีที่ได้ทำงานร่วมกับธนาคารกรุงเทพ ธนาคารชั้นนำระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อขยายช่องทางการเติมเงิน GoPay รวมไปถึงความร่วมมืออื่นๆ ที่จะตามมาในอนาคต ในการขยายการเข้าถึงด้านดิจิทัลเพย์เมนต์ของประเทศ” นายชรี กล่าว

สำหรับบริการ GoPay เป็นแพลตฟอร์มกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในอินโดนีเซีย มีปริมาณการใช้งานหลายล้านครั้งต่อวัน โดยเริ่มขยายการให้บริการเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่เดือนเมษายน 2562 เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์ม Gojek สามารถชำระค่าบริการต่างๆ ในรูปแบบ e-Payment ได้อย่างสะดวก โดยเฉพาะบริการ GoFood ซึ่งเป็นบริการส่งอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งมีแผนขยายบริการ GoPay ไปสู่ธุรกิจอื่นๆ เพิ่มเติมทั้งภายในและภายนอก Gojek Ecosystem เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน รวมทั้งการมอบประสบการณ์ที่ดีอย่างสูงสุดสำหรับผู้ใช้งานภายในแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่อง

นางสาวนิรมาณ ไหลสาธิต รองผู้จัดการใหญ่ (ขวา) ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และนายวราวุธ นาถประดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานปฏิบัติการ (ซ้าย) บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) พันธมิตรในฐานะ “Exclusive Financial Partner” ต่อยอดความร่วมมืออำนวยความสะดวกลูกค้าธนาคารกรุงเทพ และเคอรี่ เอ็กซ์เพรส เปิดจุดให้บริการยืนยันตัวตน Be My ID ที่เคอรี่ เอ็กซ์เพรส พร้อมจัดแคมเปญโปรโมชั่นพิเศษ “สมัครปั๊บ รับทันทีคูปองส่วนลด 40 บาท” สำหรับลูกค้าที่สมัครบริการโมบายแบงก์กิ้ง จากธนาคารกรุงเทพ พร้อมเปิดบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ e-Savings ด้วยวิธียืนยันตัวตนที่จุดบริการ Be My ID ในร้านเคอรี่ เอ็กซ์เพรส พาร์เซล ช็อป ทุกสาขาทั่วประเทศ รับฟรี! โค้ดคูปองส่วนลด (e-Voucher) Kerry Express มูลค่า 40 บาท สำหรับใช้เป็นส่วนลดค่าจัดส่งพัสดุที่ Kerry Express ตั้งแต่วันนี้ - 30 มิถุนายน 2564 (1 ท่าน/1 สิทธิ์ จำกัด 100,000 สิทธิ์ ตลอดโครงการ) โดยลูกค้าสามารถใช้สิทธิ์คูปองส่วนลดได้ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2564

ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ชวนเปิดบัญชีออนไลน์ เปิดง่าย ผ่านแอปโมบายแบงก์กิ้ง จากธนาคารกรุงเทพ เพิ่มความสะดวกให้ลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าใหม่ ไม่ต้องไปสาขา ใช้แค่บัตรประชาชนใบเดียว เปิดบัญชีเงินฝาก e-Savings ได้ด้วยตัวเอง ทุกที่ ทุกเวลา พร้อมต่อยอดความร่วมมือ เคอรี่ เอ็กซ์เพรส พันธมิตรในฐานะ “Exclusive Financial Partner” เพิ่มทางเลือกจุดบริการยืนยันตัวตน (Be My ID) ผ่านร้านเคอรี่ เอ็กซ์เพรส พาร์เซล ช็อป ทุกสาขา จัดหนักอัดโปรโมชั่นพิเศษ ส่วนลดค่าส่งพัสดุที่ Kerry Express 40 บาท ตั้งแต่ 15 กุมภาพันธ์ - 30 มิถุนายนนี้ ย้ำช่วยต่อยอด Digital Experience ตอบโจทย์ลูกค้ายุคใหม่

นางสาวนิรมาณ ไหลสาธิต รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงเทพพร้อมให้บริการเปิดบัญชีออนไลน์ ด้วยบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ e-Savings ชูจุดเด่นในแง่ความสะดวกสบาย และที่สำคัญคือ สามารถเปิดบัญชีผ่านแอปพลิเคชันโมบายแบงก์กิ้ง จากธนาคารกรุงเทพได้ทันที โดยใช้เพียงบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อยืนยันตัวตนที่จุดบริการยืนยันตัวตน (Be My ID) ของธนาคารได้ โดยไม่ต้องมีสมุดบัญชี ไม่มีกำหนดยอดเงินฝากขั้นต่ำ ฟรีค่าธรรมเนียมทำรายการข้ามเขต ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ที่นิยมการทำธุรกรรมต่างๆ ด้วยตนเองผ่านช่องทางดิจิทัล

สำหรับลูกค้าปัจจุบันที่ใช้บริการโมบายแบงก์กิ้ง จากธนาคารกรุงเทพอยู่แล้ว สามารถเปิดบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ e-Savings ได้ทันที ขณะที่ลูกค้าใหม่ที่ยังไม่เคยมีบัญชีเงินฝากของธนาคารกรุงเทพมาก่อน ก็สามารถดาวน์โหลดและติดตั้งแอปพลิเคชันโมบายแบงก์กิ้ง จากธนาคารกรุงเทพ เลือกเมนู “เปิดบัญชีออนไลน์” เพื่อทำการเปิดบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ e-Savings และบัตรเดบิต พร้อมสมัครใช้งานโมบายแบงก์กิ้ง จากนั้นเพียงนำบัตรประชาชนไปยืนยันตัวตนได้ที่จุดบริการ Be My ID

โอกาสนี้ ธนาคารได้ต่อยอดความร่วมมือกับ บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) พันธมิตรในฐานะ “Exclusive Financial Partner” เพิ่มจุดให้บริการยืนยันตัวตน Be My ID ที่เคอรี่ เอ็กซ์เพรส เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกและอำนวยความสะดวกลูกค้า นอกเหนือจากการยืนยันตัวตนที่สาขาธนาคาร ทั้งได้จัดแคมเปญพิเศษ “สมัครปั๊บ รับทันที คูปองส่วนลด 40 บาท” สำหรับลูกค้าที่สมัครบริการโมบายแบงก์กิ้ง จากธนาคารกรุงเทพ พร้อมเปิดบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ e-Savings และยืนยันตัวตนที่จุดบริการ Be My ID ในร้านเคอรี่ เอ็กซ์เพรส พาร์เซล ช็อป กว่า 2,000 สาขาทั่วประเทศ รับฟรี! โค้ดคูปองส่วนลด (e-Voucher) Kerry Express มูลค่า 40 บาท สำหรับใช้เป็นส่วนลดค่าจัดส่งพัสดุที่ Kerry Express ระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 - 30 มิถุนายน 2564 (1 ท่าน/1 สิทธิ์ จำกัด 100,000 สิทธิ์ ตลอดโครงการ) โดยลูกค้าสามารถใช้คูปองส่วนลดได้ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2564

นางสาวนิรมาณ กล่าวอีกว่า บริการดังกล่าวถูกพัฒนาขึ้นมาบนพื้นฐานความเข้าใจและต้องการตอบโจทย์พฤติกรรมของลูกค้ายุคดิจิทัลเป็นสำคัญ ซึ่งต้องการทำธุรกรรมต่างๆ ด้วยตัวเอง ขณะเดียวกันก็สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันเรื่องการเว้นระยะห่าง ลดการเดินทางและรวมกลุ่มในพื้นที่ต่างๆ เพื่อป้องกันปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ดังนั้น ธนาคารจึงได้เลือกใช้ช่องทางดิจิทัลเข้ามาสนับสนุนที่ช่วยให้ธุรกรรมการเงินเป็นเรื่องง่ายขึ้น แม้แต่การเปิดบัญชีเงินฝาก ก็สามารถทำได้ด้วยตนเอง มีช่องทางยืนยันตัวตนได้หลากหลายจุดให้เลือกได้ตามที่ลูกค้าสะดวก

“ธนาคารให้ความสำคัญกับการส่งมอบ Digital Experience ที่ดีให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ผ่านการพัฒนาแพลตฟอร์มและช่องทางดิจิทัลต่างๆ ให้มีความสามารถเพิ่มขึ้น รองรับทั้งการทำธุรกรรมการลงทุน ตลอดจนบริการทางการเงินใหม่ๆ เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้าน Digital Banking Provider ในเวลาเดียวกัน ประสบการณ์เหล่านี้ต้องเชื่อมต่อเป็นส่วนหนึ่งในไลฟ์สไตล์ของลูกค้าได้อย่างลงตัว และเป็นสิ่งที่มีความหมายกับลูกค้าอีกด้วย นับเป็นความตั้งใจของธนาคารกรุงเทพ ในฐานะ “เพื่อนคู่คิด” ที่จะช่วยแนะนำและส่งมอบประสบการณ์เหล่านี้ให้แก่ลูกค้าต่อไป” นางสาวนิรมาณ กล่าว

ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถติดตามข้อมูลเกี่ยวกับการเปิดบัญชีออนไลน์ และข้อมูลอื่นที่น่าสนใจของธนาคาร รวมทั้งโปรโมชั่นพิเศษต่างๆ ได้จากสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคารกรุงเทพทุกช่องทาง ได้แก่ เว็บไซต์ธนาคาร Bangkok Bank LINE Official หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.1333 หรือ 0 2645 5555

ธนาคารกรุงเทพ จับมือเอไอเอ ประเทศไทย ขายสัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ “เอไอเอ เฮลธ์ แฮปปี้” ผ่านสาขาแบงก์ หนุนคนไทยเตรียมพร้อมรับมือค่าใช้จ่ายสุขภาพให้เพียงพอ พร้อมชูจุดเด่น เหมา-เบิ้ล-คุ้ม แถมความคุ้มครองสูง เลือกได้สูงสุดถึง 25 ล้านบาท/รอบปีกรมธรรม์ พิเศษสุด รับส่วนลดค่าเบี้ย 5% เมื่อซื้อภายใน 31 มี.ค. 64 และเลือกจ่ายเบี้ยแบบรายปี

นางสาวพจณี คงคาลัย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารให้ความสำคัญกับลูกค้าทุกกลุ่ม มุ่งมั่นที่จะพัฒนาหรือคัดสรรผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบต่างๆ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการให้แก่ลูกค้าได้อย่างครอบคลุม โดยปัจจุบันพบว่าคนไทยตื่นตัวเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพอย่างมาก ทั้งการออกกำลังกาย และเตรียมความพร้อมรับมือกับค่าใช้จ่ายการดูแลสุขภาพมากขึ้นอย่างชัดเจน ธนาคารจึงร่วมกับเอไอเอ ประเทศไทย ผู้นำในธุรกิจประกันชีวิตและประกันสุขภาพ ร่วมกันนำเสนอ สัญญาเพิ่มเติม “เอไอเอ เฮลธ์ แฮปปี้” ซึ่งให้ความคุ้มครองด้านสุขภาพแบบเหมาจ่าย มีแผนความคุ้มครองให้เลือกได้ตามความต้องการ และทำความเข้าใจได้ไม่ยาก

“ธนาคารพยายามส่งเสริมให้คนไทยมีความคุ้มครองด้านสุขภาพที่ครอบคลุมและเพียงพอ เนื่องจากค่ารักษาพยาบาลในปัจจุบันมีอัตราเฉลี่ยเพิ่มขึ้นทุกปี เช่นเดียวกับโรคภัยต่างๆ มีความหลากหลายมากขึ้น ขณะเดียวกันซับซ้อนและรุนแรงมากขึ้น ดังนั้น การมีความคุ้มครองด้านสุขภาพอย่างเพียงพอจึงสำคัญ และเป็นสิ่งที่ธนาคารในฐานะ “เพื่อนคู่คิด” ต้องการแนะนำลูกค้าให้ตระหนักถึงความจำเป็นนี้ รวมถึงช่วยคัดสรรผู้ให้บริการด้านประกันสุขภาพที่มีประสบการณ์และเป็นมืออาชีพ อย่างเอไอเอ เข้ามาร่วมกันนำเสนอความคุ้มครองที่เหมาะสมและคุ้มค่าให้แก่ลูกค้า” นางสาวพจณี กล่าว

นางอลิสา สิมะโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ผ่ายพันธมิตรธุรกิจแบงก์แอสชัวรันส์เชิงกลยุทธ์ เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า เอไอเอพัฒนาแผนประกันสุขภาพนี้ขึ้นมาจากความต้องการของลูกค้าเพื่อให้เหมาะสมกับความจำเป็นของลูกค้าแต่ละบุคคล ดังนั้น จึงมีให้ลูกค้าได้เลือกทั้งหมด 4 แผน ตามมูลค่าผลประโยชน์ความคุ้มครองที่ต้องการ สูงสุดถึง 25 ล้านบาทต่อรอบปีกรมธรรม์ ทั้งมีจุดเด่นซึ่งเป็นสิ่งที่ลูกค้ากำลังมองหา คือ เหมา – รับผลประโยชน์แบบเหมาจ่ายในส่วนของค่ารักษาพยาบาล เบิ้ล – รับผลประโยชน์สูงสุดเพิ่มเป็น 2 เท่า และรับต่อเนื่องรวม 4 ปีกรมธรรม์¹ กรณีเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง² ครั้งแรก และ คุ้ม – มีทั้งความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลทั้ง OPD³ และ IPD อายุรับประกันตั้งแต่อายุ 6-75 ปี และต่ออายุถึง 84 ปี คุ้มครองถึงอายุ 85 ปี

ทั้งนี้ ในโอกาสแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ เอไอเอยังมอบโปรโมชั่นพิเศษช่วงแนะนำผลิตภัณฑ์ เป็นส่วนลดค่าเบี้ยประกันปีแรกอีก 5% ของเบี้ยประกันภัย หากลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์ เอไอเอ เฮลธ์ แฮปปี้ ตั้งแต่วันนี้ - 31 มี.ค. 64 และชำระค่าเบี้ยประกันแบบรายปี

ลูกค้าที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต และข้อมูลอื่นที่น่าสนใจของธนาคาร ได้จากสื่อประชาสัมพันธ์ของธนาคารกรุงเทพทุกช่องทาง ได้แก่ เว็บไซต์ธนาคาร, Bangkok Bank LINE Official หรือติดต่อได้ที่ธนาคารกรุงเทพทุกสาขาที่ให้บริการ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.1333 หรือ 0 2645 5555

หมายเหตุ:

¹ เงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด
² โรคร้ายแรง หมายถึงโรคร้ายแรงตามคำนิยามของโรคร้ายแรงที่ได้รับความคุ้มครองภายใต้บันทึกสลักหลังผลประโยชน์ความคุ้มครองกรณีโรคร้ายแรง
³ ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลกรณีเป็นผู้ป่วยนอก (OPD) สำหรับแผนประกันวงเงินความคุ้มครอง 25 ล้านบาท
⁴ ข้อมูลนี้เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นเพื่อประกอบการนำเสนอเท่านั้น ผู้ขอเอาประกันภัยควรศึกษาทำความเข้าใจรายละเอียดรวมทั้งข้อยกเว้นไม่คุ้มครองของผลิตภัณฑ์ประกันภัย ก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง

ธนาคารกรุงเทพ หนุนผู้ประกอบการหันมาใช้บริการ e-Withholding Tax ยกระดับธุรกิจสู่ Digital Business เพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน เอื้อพนักงานทำงานสะดวก ชวนลูกค้า “สยามฟาร์มาชูติคอล” และ “หน่ำเซียน” เปิดประสบการณ์ตรง หลังประเดิมใช้ e-Withholding Tax แล้วปลื้ม ประสิทธิภาพดีขึ้น ลดขั้นตอนงาน ลดความยุ่งยากเรื่องเอกสาร พร้อมพาเหรดบริการต่างๆ ช่วยจัดการภาษีอีกเพียบ ตอกย้ำจุดยืนในบริการ Digital Service อย่างครบครัน

นายพิพัฒน์ อัสสมงคล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงเทพ ในฐานะ “เพื่อนคู่คิด” มุ่งมั่นนำเทคโนโลยีมาช่วยพัฒนาบริการ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้สะดวก ราบรื่น และมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อสอดรับกับรูปแบบการดำเนินธุรกิจในยุค New Normal โดยล่าสุด ธนาคารได้เริ่มให้บริการภาษีหัก ณ ที่จ่ายผ่านอิเล็กทรอนิกส์ (e-Withholding Tax) แก่กลุ่มผู้ประกอบการ ด้วยบริการนี้จะช่วยให้ธุรกิจลดต้นทุน ลดเวลาและภาระค่าใช้จ่าย รวมถึงลดขั้นตอนการดำเนินการด้านเอกสารทางภาษี อีกทั้งสามารถตรวจสอบรายการแบบออนไลน์ได้อีกด้วย

สำหรับบริการภาษีหัก ณ ที่จ่าย ผ่านอิเล็กทรอนิกส์ คือบริการที่ธนาคารเป็นผู้นำส่งเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายและข้อมูลให้กับกรมสรรพากร เมื่อผู้จ่ายเงินโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ธนาคารจะทำรายการหักเงินภาษีหัก ณ ที่จ่าย และนำส่งข้อมูลพร้อมเงินภาษีดังกล่าวให้กับกรมสรรพากรโดยอัตโนมัติ โดยที่ผู้จ่ายเงินไม่ต้องยื่นแบบ และชำระเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายด้วยตนเอง รวมถึงไม่ต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (Withholding Tax Certificate) ให้กับผู้รับเงินอีกต่อไป นอกจากนี้ กรณีผู้จ่ายเงินชำระเงินภาษีไว้ไม่ครบถ้วน ผู้จ่ายเงินสามารถชำระเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายเพิ่มเติมได้ ผ่านทางระบบ e-Tax Payment ผ่านช่องทางบริการ Corporate iCash และ BIZ iBanking รวมถึงการชำระเงินผ่านบริการ Bill Payment ที่สาขาของธนาคารได้ทันที

บริการ e-Withholding Tax เหมาะกับองค์กรที่ต้องมีการชำระค่าสินค้าและบริการ และมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย ให้กับคู่ค้าจำนวนมาก รวมถึงองค์กรที่ต้องการนำเทคโนโลยีมาทดแทนการทำงานแบบ Manual ซึ่งการปรับมาใช้ e-Withholding Tax จะช่วยให้คู่ค้าขององค์กรได้รับค่าสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้น และเอื้อให้สามารถบริหารจัดการสภาพคล่องได้ดีขึ้น จากมาตรการลดอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายของกรมสรรพากร จาก 5% และ 3% เป็น 2% สำหรับการจ่ายเงินได้พึงประเมินผ่านระบบ e-Withholding Tax โดยมีผลตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2563 - 31 ธันวาคม 2565 รวมถึงผู้จ่ายเงินสามารถนำรายจ่ายจากการลงทุนและการใช้บริการระบบ e-Withholding Tax มาหักเป็นรายจ่ายได้ 2 เท่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 - 31 ธันวาคม 2565

ทั้งนี้ หลังจากเริ่มเปิดให้บริการดังกล่าว ธนาคารกรุงเทพได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มผู้ประกอบการจำนวนมากให้เป็นผู้ให้บริการภาษีหัก ณ ที่จ่าย ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีกลุ่มบริษัทชั้นนำให้ความไว้วางใจใช้บริการแล้ว อาทิ กลุ่มบริษัทสยามฟาร์มาชูติคอล ผู้วิจัย ผลิตและจัดจำหน่ายยาและเวชภัณฑ์คุณภาพระดับสากลของประเทศไทย และกลุ่มบริษัทหน่ำเซียน ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเคมีภัณฑ์สำหรับอุตสาหกรรมจากผู้ผลิตชั้นนำทั่วโลก รวมถึงงานบริการด้านเทคนิค การพัฒนาสูตรต้นแบบสำหรับเครื่องสำอาง อาหาร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

นางดรุณี ยินดีผลเจริญ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน บริษัท สยามฟาร์มาซูติคอล จำกัด กล่าวว่า e-Withholding Tax เป็นการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการชำระค่าสินค้าและบริการให้กับคู่ค้า/ผู้ให้บริการ ซึ่งรวมถึงการออกหนังสือรับรองภาษี หัก ณ ที่จ่าย และการนำส่งภาษี หัก ณ ที่จ่ายในช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้กระบวนการมีความแม่นยำ ลดขั้นตอนการทำงาน ลดการใช้เอกสารกระดาษ ทั้งในส่วนงานของกลุ่มบริษัท และคู่ค้า/ผู้ให้บริการของกลุ่มบริษัท การเปลี่ยนมาสู่ระบบดิจิทัล ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานขององค์กรดีขึ้น

ด้านนางศุภางค์ ศกุนตนาค รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทหน่ำเซียน กล่าวว่า กลุ่มบริษัทมีนโยบายในการนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันให้กับองค์กร แต่เดิมได้ใช้บริการดิจิทัลอื่นๆ กับธนาคารกรุงเทพอยู่แล้ว และเรารู้สึกยินดีอย่างมากที่ธนาคารกรุงเทพได้เพิ่มบริการ e-Withholding Tax ซึ่งเราไม่ลังเลใจเลยในการขอรับบริการนี้ เนื่องจากระบบ e-Withholding Tax ของธนาคารกรุงเทพ ช่วยลดความยุ่งยากด้านงานเอกสารภาษี ซึ่งต้องการความถูกต้องและใช้บุคลากรจำนวนมาก การใช้ระบบดิจิทัล ทำให้เราสามารถทำงานรวดเร็ว ลดความผิดพลาด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และลดต้นทุนของกิจการ ต้องขอขอบคุณธนาคารกรุงเทพ กับบริการดีๆ สมกับที่เป็น “เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน”

ทั้งนี้ เพื่อให้ลูกค้าผู้ประกอบการได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นจากบริการด้านภาษี ธนาคารกรุงเทพยังมีบริการจัดทำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e-Receipt) และใบเพิ่มหนี้/ใบลดหนี้อิเล็กทรอนิกส์ (e-Debit Note/e-Credit Note) โดยจัดส่งให้แก่ลูกค้าหรือคู่ค้าของผู้ประกอบการผ่านทางอีเมลหรือช่องทางอื่นตามที่ตกลงไว้ พร้อมทั้งนำส่งข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ให้แก่กรมสรรพากรในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรฐานที่กำหนดอีกด้วย

อีกทั้ง ยังพร้อมให้บริการด้านการชำระเงินแก่หน่วยงานราชการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ประกอบด้วย บริการชำระค่าพิธีการศุลกากรทางอิเล็กทรอนิกส์ (Customs Paperless e-Payment) บริการชำระเงินสมทบประกันสังคมทางอิเล็กทรอนิกส์ (Social Security Payment) เพื่อช่วยผู้ประกอบการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย ช่วยให้ทำธุรกรรมได้รวดเร็วและคล่องตัวยิ่งขึ้น รวมทั้งสามารถตรวจสอบรายงานการโอนเงินได้ง่ายผ่านระบบออนไลน์เช่นเดียวกัน

“ธนาคารเห็นความสำคัญของการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาและต่อยอดบริการ เพื่อให้เป็นดิจิทัลทั้งกระบวนการ สอดรับกับนโยบายภาครัฐที่ผลักดันให้เกิดระบบนิเวศน์ทางธุรกิจที่เป็นดิจิทัล เพื่อลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นให้แก่ผู้ประกอบการ ทั้งนี้ การชำระภาษีและการจัดการเอกสารทางภาษีเป็นต้นทุนของผู้ประกอบการ ทั้งในด้านต้นทุน ด้านเอกสาร ด้านเวลา และด้านบุคลากร การนำเทคโนโลยีมาพัฒนาเพื่อเชื่อมต่อผู้ประกอบการกับระบบการชำระภาษี และจัดการเอกสารด้านภาษีครั้งนี้ นับเป็นการส่งมอบบริการด้านภาษีที่ครบวงจร และช่วยลดภาระต่างๆ ให้กับผู้ประกอบการ รวมถึงช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการยกระดับองค์กรสู่ระบบนิเวศน์แบบใหม่ได้อย่างสมบูรณ์” นายพิพัฒน์ กล่าว

ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จัดทำซองอั่งเปา โดยออกแบบเป็นภาพ “ดอกโบตั๋น” พิมพ์ด้วยเทคนิคพิเศษ Gold Hot Stamping บนซองสีแดง สำหรับมอบให้แก่ลูกค้าเพื่อเสริมสิริมงคลเทศกาลตรุษจีน ประจำปี 2564

สำหรับ “ดอกโบตั๋น” เป็นดอกไม้มงคลที่ได้รับการยกย่องให้เป็นราชาแห่งดอกไม้ สัญลักษณ์แห่งความรุ่งเรืองมั่งคั่ง ความซื่อสัตย์ เกียรติยศ นำมาซึ่งความโชคดีและโชคลาภ ทั้งนี้ ธนาคารได้จัดทำซองอั่งเปาในช่วงเทศกาลตรุษจีนต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี สำหรับมอบให้แก่ลูกค้าเพื่อนำไปใช้อวยพรลูกหลาน และผู้ที่เคารพนับถือในโอกาสปีใหม่ของชาวไทยเชื้อสายจีน

• กรณีรับเงินเข้าบัญชี อย่างช้าที่สุดภายในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2564
• กรณีรับเป็นเช็ค อย่างช้าที่สุดภายในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2564

• รับฟรี dtac อินเทอร์เน็ต 10GB (ใช้งานได้ 30 วัน) มูลค่า 399 บาท
• รับส่วนลดค่าอาหารจาก Grab Food มูลค่า 100 บาท (ไม่รวมค่าส่ง) เมื่อสั่งอาหารขั้นต่ำ 300 บาท
• รับฟรี โค้ดส่วนลด Shopee มูลค่า 50 บาท
• รับฟรี คูปองเงินสด เทสโก้ โลตัส มูลค่า 50 บาท

• สายช้อป: รับเงินคืนพิเศษ (Top Up) เมื่อเติมเงินขั้นต่ำตามที่กำหนด ผ่านผู้ให้บริการ e-Wallet ที่ร่วมรายการ ภายในวันที่ 15 เมษายน 2564 (ลูกค้าจะได้รับเงินคืนเข้าบัญชีที่ใช้เติมเงินในวันถัดไป)
• AirPlay Wallet เติมขั้นต่ำ 500 บาท รับเงินคืน 50 บาทต่อรายการ (จำกัด 2 สิทธ์/คน/เดือน สูงสุดไม่เกินคนละ 300 บาทตลอดรายการ จำกัดจำนวนสิทธิ์ทั้งหมด 15,000 สิทธิ์ตลอดโครงการ)
• Dolfin Wallet เติมขั้นต่ำ 500 บาท รับเงินคืน 50 บาทต่อรายการ (จำกัด 2 สิทธ์/คน/เดือน สูงสุดไม่เกินคนละ 300 บาทตลอดรายการ จำกัดจำนวนสิทธิ์ทั้งหมด 5,000 สิทธิ์ตลอดโครงการ)

• สายเอนเตอร์เทน: รับโค้ดดู VIU Premium ฟรี 2 เดือน เมื่อทำรายการถอนเงินไม่ใช้บัตร ครบ 2 ครั้ง ภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 (1 สิทธิ์/คน ตลอดโครงการ จำกัด 20,000 สิทธิ์ตลอดโครงการ โดยลูกค้าที่ได้รับสิทธิ์ สามารถกดรับสิทธิ์ที่ Rewards เลือกคูปองของฉัน และต้องใช้สิทธิ์ภายใน 30 เมษายน 2564 มิเช่นนั้นจะถือว่าสละสิทธิ์)

• ผู้จองซื้อจะสามารถจองซื้อได้ต่อเมื่อผ่านการทำแบบประเมินความเหมาะสมในการลงทุน (Suitability Test) แล้ว กรณีที่ยังไม่เคยทำ หรือเคยทำแล้วแต่ผลประเมินหมดอายุ สามารถติดต่อสาขาธนาคารกรุงเทพ หรือเข้าใช้บริการบัวหลวง ไอแบงก์กิ้ง หรือผ่านช่องทาง Banner ในแอปพลิเคชันโมบายแบงก์กิ้ง เพื่อทำแบบประเมินได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
• การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนต้องศึกษาข้อมูลในหนังสือชี้ชวน และทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

ธนาคารกรุงเทพ ขานรับนโยบาย ธปท. ต่ออายุมาตรการช่วยเหลือลูกค้ารายย่อย ผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยขยายระยะเวลาขอรับความช่วยเหลือไปอีก 6 เดือน ถึง 30 มิถุนายน 2564 ครอบคลุมผลิตภัณฑ์สินเชื่อทุกประเภท ผ่านหลากหลายมาตรการ ทั้งปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขยายวงเงิน พักชำระหนี้ จนถึงปรับปรุงโครงสร้างหนี้ เพื่อช่วยลูกค้าแต่ละกลุ่มอย่างดีที่สุด ย้ำจุดยืน “เพื่อนคู่คิด” เคียงข้างลูกค้าใกล้ชิด ดูแลทุกมิติ หนุนลูกค้าปรับตัวร่วมกัน จนลุกขึ้นยืนอย่างแข็งแกร่งอีกครั้ง

นายสุวรรณ แทนสถิตย์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศขยายระยะเวลามาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้ารายย่อย เพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ระลอกใหม่ ซึ่งขยายขอบเขตการแพร่ระบาดออกไปเป็นวงกว้างหลายพื้นที่ ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ธนาคารกรุงเทพเข้าใจถึงสถานการณ์ที่ทุกคนกำลังเผชิญในขณะนี้ จึงได้ออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือลูกค้ารายย่อยที่ได้รับผลกระทบอย่างทั่วถึง ด้วยการขยายระยะเวลาขอรับความช่วยเหลือต่อไปอีก 6 เดือน จนถึง 30 มิถุนายน 2564 จากเดิมสิ้นสุด 31 ธันวาคม 2563

ทั้งนี้ มาตรการช่วยเหลือลูกค้ารายย่อย จะครอบคลุมลูกค้าบัตรเครดิต ลูกค้าสินเชื่อบุคคลภายใต้การกำกับ ลูกค้าสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อที่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกัน เพื่อช่วยลูกค้าลดความวิตกและกังวลใจจากผลกระทบดังกล่าว โดยมีรายละเอียดของมาตรการเพื่อให้ลูกค้าแจ้งขอรับความช่วยเหลือได้ดังนี้

1) สินเชื่อบัตรเครดิต

• เปลี่ยนประเภทเป็นสินเชื่อที่มีระยะเวลา (Term Loan) 48 งวด หรือขยายระยะเวลาตามความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า โดยคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 12% ต่อปี
  
  นอกเหนือจากมาตรการข้างต้น ธนาคารได้มีการปรับลดอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำให้กับลูกค้าทุกรายโดยอัตโนมัติตั้งแต่ เมษายน 2563 จนถึงปี 2565 และปรับลดเพดานดอกเบี้ยตั้งแต่ สิงหาคม 2563 รวมถึงการพิจารณาขยายวงเงินให้แก่ลูกค้าที่มีความจำเป็นเป็นการชั่วคราว

2) สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ

ประเภทสินเชื่อที่มีลักษณะหมุนเวียน (Revolving Loan)

• ลดอัตราผ่อนขั้นต่ำ ตามความสามารถในการชำระหนี้
• เปลี่ยนเป็นสินเชื่อที่มีระยะเวลา (Term Loan) 48 งวด หรือขยายระยะเวลาตามความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า โดยคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 22% ต่อปี

• ลดค่างวดอย่างน้อย 30% โดยคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 22% ต่อปี

• เลื่อนชำระค่างวด (เงินต้นและดอกเบี้ย) เป็นระยะเวลา 3 เดือน หรือ
• เลื่อนชำระเงินต้น (จ่ายเฉพาะดอกเบี้ย) เป็นระยะเวลา 3 เดือน และพิจารณาลดดอกเบี้ยให้ลูกค้าแต่ละรายตามความเหมาะสม หรือ
• ลดค่างวดโดยขยายเวลาการชำระหนี้

นายคณิต สีห์ รองผู้จัดการใหญ่ สายลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ที่ 2 จากซ้าย) และนางสมหะทัย พานิชชีวะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ วีเอ็น จำกัด (มหาชน) (Amata VN) (ที่ 2 จากขวา) ร่วมลงนาม Memorandum of Understanding for Business Cooperation สำหรับความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการขยายธุรกิจของ Amata VN ในฐานะผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม Amata City Long Thanh และ Amata City Bien Hoa ในประเทศเวียดนาม โดยผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมทั้งสองแห่งนี้ จะได้รับการสนับสนุนสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากรัฐบาลเวียดนาม โดยมี ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ (กลาง) และคณะทำงานร่วมเป็นสักขีพยาน ที่ The Bangkok Club อาคารสาทร ซิตี้ ถนนสาทร เมื่อเร็วๆ นี้

ธนาคารกรุงเทพมอบสมุดบันทึกรายรับ-รายจ่าย ส่งเสริมการออม เป็นของขวัญวันเด็กประจำปี 2564 หวังช่วยสร้างวินัยทางการเงินที่ดี รู้จักเก็บ รู้จักใช้ เห็นความสำคัญของการมีเงินออมที่จะช่วยบรรเทาผลกระทบหากเกิดสถานการณ์วิกฤตต่าง ๆ สามารถช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ปกครอง หรือมีเงินเก็บสำหรับทำตามความฝันที่ตั้งใจไว้ได้ โดยปีนี้ธนาคารจัดส่งสมุดให้โรงเรียนที่ธนาคารสนับสนุน เช่น โรงเรียนที่ธนาคารบริจาคอาคารเรียนให้ โรงเรียนในโครงการ CONNEXT ED โรงเรียนที่ธนาคารช่วยฟื้นฟูจากน้ำท่วมในโครงการพลังน้ำใจไทย และโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร รวมกว่า 1,000 แห่ง ทั่วประเทศ ให้โรงเรียนพิจารณาแจกจ่ายให้แก่เด็กๆ เมื่อสถานการณ์เอื้ออำนวยหรือในช่วงเปิดเทอมนอกจากนี้ สมุดบันทึกดังกล่าวยังถูกผลิตด้วยกระดาษรักษ์โลก จากสวนไม้ที่ปลูกเพื่อผลิตกระดาษตามมาตรฐานการจัดการสวนไม้อย่างยั่งยืนตามมาตรฐาน FSC หรือ Forest Stewardship Council ที่กำหนดให้ต้องมีพื้นที่อนุรักษ์อย่างน้อยร้อยละ 10 ของพื้นที่สวนไม้ที่ขอรับรอง ทั้งยังช่วยถนอมสายตาของเด็กๆ อีกด้วย