เร่งเครื่องมอบโลหิต 70 แสนซีซี - ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย จัดตั้งจุดรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ 12 แห่ง ทั่วประเทศ ต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3/2568 เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้บริจาคโลหิต ทีมผู้บริหารและพนักงานชาวบัวหลวง ณ ธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ สีลม เพื่อเพิ่มปริมาณโลหิตสำรองให้กับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย นอกจากนี้ผู้บริจาคโลหิตภายใต้โครงการฯ ที่บริจาคสะสมครบ 3 ครั้ง ภายในปี 2568 จะได้รับวัตถุมงคลที่ระลึก ‘สมเด็จพระไพรีพินาศ วัดบวรนิเวศวิหาร’ เพื่อแทนคำขอบคุณความเสียสละอย่างต่อเนื่อง

สำหรับยอดบริจาคโลหิต ภายใต้โครงการ “ธนาคารกรุงเทพ ร่วมส่งมอบ 70 แสนซีซี บริจาคโลหิตต่อชีวิตทั่วไทย” (ณ 23 กรกฎาคม 2568) มีจำนวนผู้บริจาคเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกครั้ง โดยล่าสุดในการบริจาคโลหิตครั้งที่ 3/2568 มีผู้ร่วมบริจาค 1,183 ราย ยอดบริจาคโลหิตรวมถึง 473,200 ซีซีภายในวันเดียว ทำให้มียอดโลหิตที่มอบให้แก่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ไปแล้วรวม 2,603,500 ซีซี จากผู้เข้าร่วมบริจาคทั้งหมด 6,508 ราย ด้วยนโยบายการเปิดจุดบริการรับบริจาคโลหิตที่ครอบคลุม ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค รวมถึงการสร้างความร่วมมือจากหน่วยงานพันธมิตรชั้นนำเพื่อจัดกิจกรรมพิเศษ อาทิ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศ กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ในสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ค่ายพรหมโยธี อำเภอเมืองปราจีนบุรี จังหวัดปราจีนบุรี เทศบาลเมืองหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ ที่ตระหนักถึงความสำคัญในการเป็น “ผู้ให้” เพื่อช่วยให้มีโลหิตสำรองเพียงพอในทุกสถานการณ์

ผู้สนใจเข้าร่วมโครงการ “ธนาคารกรุงเทพ ร่วมส่งมอบ 70 แสนซีซี บริจาคโลหิตต่อชีวิตทั่วไทย” สามารถร่วมบริจาคโลหิตได้ที่ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่งทั่วประเทศ หน่วยรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ และ โรงพยาบาลแต่ละจังหวัดที่เป็นโรงพยาบาลสาขาบริการโลหิต พร้อมสแกนคิวอาร์โค้ด กรอกข้อมูล ร่วมสะสมจำนวนซีซี กับ โครงการฯ หรือ ที่หน่วยรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ธนาคารกรุงเทพ ทั้ง 12 แห่งทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ซึ่งจะจัดต่อเนื่องทุก 3 เดือน จนถึง 31 ธันวาคม 2568 สามารถสอบถามข้อมูลและกำหนดวันตั้งหน่วยรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่ของธนาคารกรุงเทพ ทั้ง 12 แห่ง ได้ที่ธนาคารกรุงเทพ โทร. 0-2230-2062 หรือ 0-2230-

เช้าวันนี้ (จันทร์ที่ 28 กรกฎาคม 2568) เวลา 09.00 น. ที่ศาลาสหทัยสมาคม พระบรมมหาราชวัง และ อาคารกองกิจการในพระองค์ (สำนักงานราชเลขานุการในพระองค์) พระที่นั่งอัมพรสถาน

นายอมร จันทรสมบูรณ์ นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ และนายปรีดี ดาวฉาย กรรมการธนาคาร นางสาวพจณี คงคาลัย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ นายอภิวัฒน์ ปุณโณปกรณ์ และ นายสุวิทย์ อินทรเฉลิม เจ้าหน้าที่บริหารระดับ Vice President ฝ่ายการประชาสัมพันธ์ และ นายชานันท์ โสภณพนิช เจ้าหน้าที่บริหารระดับ Assistant Vice President บริหารช่องทาง Mobile Banking พร้อมคณะผู้บริหาร และพนักงาน ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายแจกันดอกไม้ และร่วมลงนามถวายพระพรชัยมงคล พร้อมทูลเกล้าฯ ถวายเงิน เพื่อทรงใช้สอยตามพระราชอัธยาศัย เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2568 เพื่อแสดงความจงรักภักดี และแสดงความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ณ ศาลาสหทัยสมาคม พระบรมมหาราชวัง และ อาคารกองกิจการในพระองค์ (สำนักงานราชเลขานุการในพระองค์) พระที่นั่งอัมพรสถาน

เสริมแกร่งความรู้ - นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ร่วมบรรยายพิเศษในหัวข้อ “เกมเศรษฐกิจโลก : นโยบายการเงินของมหาอำนาจและผลกระทบต่อไทย” ให้แก่สื่อมวลชนใน “โครงการพัฒนาศักยภาพผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจระดับสูง (พศส.)” ประจำปี 2568 เจาะลึกนโยบายด้านเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจ ระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีน และสหรัฐอเมริกา ที่ก่อให้เกิดสงครามทางการค้าและข้อกีดกันที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการ การขึ้นภาษีตอบโต้ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ภายใต้ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งประเทศไทยยังอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อขอปรับลดอัตราภาษีครั้งสุดท้าย จากปัจจุบันมีอัตราภาษีตอบโต้จากสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับสูงถึง 36% รวมทั้งนโยบายอื่นๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและจะทำให้ทิศทางเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก

สำหรับ “โครงการพัฒนาศักยภาพผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจระดับสูง (พศส.)” เป็นหนึ่งในกิจกรรมหลักที่ธนาคารกรุงเทพ และสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ได้ร่วมกันริเริ่ม และพัฒนาโครงการอบรมให้ความรู้ผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบันซึ่งเป็นปีที่ 19 โดยปีนี้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “รู้ทันโลกการเงิน ทลายหนี้ สู่ความยั่งยืน” เพื่อเสริมศักยภาพของผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจและการเงิน ให้มีความรู้และเข้าใจเกี่ยวกับการเงินทั้งระดับมหาภาคและจุลภาค ที่ได้รับความเสี่ยงจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ เพื่อนำไปพัฒนาต่อยอดในการเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้อง ครอบคลุม และทันต่อสถานการณ์ให้แก่สาธารณชน นับเป็นอีกหนึ่งบทบาทที่สำคัญของธนาคารกรุงเทพ ในฐานะ “เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน” ที่เคียงข้างสังคมไทยในทุกมิติ รวมถึงการให้ข้อมูลข่าวสารด้านการเงินที่เป็นประโยชน์ผ่านสื่อต่างๆ

MOU รับฝากทรัพย์สิน - นายพิพัฒน์ อัสสมงคล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และ นายชาติชาย โรจนรัตนางกูร ประธานกรรมการ สหกรณ์ออมทรัพย์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จำกัด ร่วมลงนามสัญญาแต่งตั้งธนาคารกรุงเทพ เป็นผู้รับฝากทรัพย์สินของสหกรณ์ออมทรัพย์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จำกัด ซึ่งเป็นสหกรณ์ออมทรัพย์ภาครัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ของประเทศ มีมูลค่าทรัพย์สิน (Asset under Custody) รวมทั้งสิ้นกว่า 60,000 ล้านบาท โดยธนาคารกรุงเทพพร้อมจะขยายการให้บริการรับฝากทรัพย์สินไปยังกลุ่มสหกรณ์ออมทรัพย์ของหน่วยงานภาครัฐมากขึ้นในอนาคต

ทั้งนี้ ธนาคารกรุงเทพ ได้รับความไว้วางใจจากสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศใช้บริการรับฝากทรัพย์สินมากว่า 40 ปี สามารถให้บริการรับฝากทรัพย์สินให้สหกรณ์ออมทรัพย์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จำกัด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ บรรลุวัตถุประสงค์ด้านการลงทุน ด้วยระบบงานมาตรฐานสากล บุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญอย่างมืออาชีพ ตอกย้ำความเป็น “เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน” พร้อมเคียงข้างดูแลเรื่องการเงินและการลงทุน ให้ลูกค้าอย่างครบวงจร

ปั้นผู้นำธุรกิจสีเขียว- ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) นำโดย นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ (ที่ 3 จากซ้าย) นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ กรรมการธนาคาร (ที่ 3 จากขวา) นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท (ที่ 2 จากซ้าย) นางสาวนิรมาณ ไหลสาธิต กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ (ที่ 2 จากซ้าย) นายทัฬห์ สิริโภคี ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ (ขวาสุด) และนายสหพล วรรณสุศรี ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ (ซ้ายสุด) พร้อมด้วยผู้บริหารและพนักงานร่วมเปิดหลักสูตร “Green Transition Academy รุ่นที่ 1” โดยได้รับเกียรติจาก นายปวิช เกศววงศ์ รองอธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (กลาง) บรรยายพิเศษในหัวข้อ “New World Rules in the Era of Global Warming - Thailand's Climate Change Goals and Actions” โดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศสุดขั้วที่ทวีความรุนแรงขึ้น และเป็นหนึ่งในความเสี่ยงหลักระดับโลกในปี 2568 และคาดว่าจะเป็นความเสี่ยงอันดับหนึ่งในปี 2578 ที่นักธุรกิจจะต้องเตรียมพร้อมรับมือ

โดยหลักสูตร Green Transition Academy รุ่นที่ 1 มีผู้เข้าร่วมอบรม 40 รายจากผู้นำธุรกิจหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ ภาคพลังงาน ภาคบริการ ภาคการโรงแรม ภาคเกษตร และภาคอุตสาหกรรมในหลากหลายด้าน เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ โลหะ กระจก อาหาร เคมี เครื่องสำอาง เวชภัณฑ์ สิ่งพิมพ์ บรรจุภัณฑ์ และเครื่องจักร เป็นต้น โดยมุ่งเน้นการพัฒนาองค์ความรู้เชิงลึกตลอดระยะเวลา 9 สัปดาห์ ผ่านการแบ่งปันประสบการณ์จากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ร่วมกับกิจกรรมภาคปฏิบัติระหว่างเรียน และการศึกษาดูงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมโอกาสรับคำปรึกษาเชิงกลยุทธ์จากผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืน ตามเจตนารมณ์การเป็น “เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน” ของธนาคารกรุงเทพที่พร้อมเคียงข้าง เตรียมความพร้อมให้นักธุรกิจไทยสามารถก้าวไปพร้อมกับโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคเศรษฐกิจสีเขียว-คาร์บอนต่ำได้อย่างเป็นรูปธรรม

ธนาคารกรุงเทพ จับมือ BC Card ผู้ให้บริการชำระเงินรายใหญ่ของเกาหลีใต้ เปิดให้บริการ Cross-Border QR Payment เชื่อมโยงระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ใช้แอปฯ Paybooc สแกนจ่ายในไทยได้ทันที สะดวก ปลอดภัย ฟรี!ไม่มีค่าธรรมเนียม ได้อัตราแลกเปลี่ยนแบบเรียลไทม์ โดยมีแผนต่อยอดความร่วมมือให้ลูกค้าชาวไทย สแกนจ่ายที่เกาหลีใต้ได้ในเฟสถัดไป เสริมความแข็งแกร่งฐานะผู้นำด้านดิจิทัลแบงก์กิ้งระดับภูมิภาค

นายไชยฤทธิ์ อนุชิตวรวงศ์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารได้ร่วมมือกับ BC Card Co., Ltd. ผู้ให้บริการชำระเงินรายใหญ่ของเกาหลีใต้ เพื่อร่วมกันพัฒนาบริการ Cross-Border QR Payment ระหว่างประเทศไทยและเกาหลีใต้ ซึ่งล่าสุดได้เปิดให้บริการแบบ Inbound โดยนักท่องเที่ยวจากเกาหลีใต้ที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยสามารถใช้แอปพลิเคชัน Paybooc สแกน QR Code เพื่อชำระเงินค่าสินค้าและบริการได้อย่างสะดวก ปลอดภัย และฟรีไม่มีค่าธรรมเนียม กับร้านค้าที่มีสัญลักษณ์ Cross-Border QR Payment – pay like a local โดยได้เริ่มเปิดให้บริการในเดือนมิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ธนาคารและ BC Card ยังอยู่ในระหว่างร่วมกันต่อยอดบริการดังกล่าวให้ใช้งานแบบ Outbound ได้ในระยะถัดไป เพื่อให้ผู้ใช้บริการโมบายแบงก์กิ้ง ธนาคารกรุงเทพสามารถสแกน QR Code เพื่อชำระเงินค่าสินค้าและบริการระหว่างเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศเกาหลีใต้ได้เช่นเดียวกัน

“ความร่วมมือระหว่างธนาคารกรุงเทพกับ BC Card นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการขยายบริการ Cross-Border QR Payment ของเราไปยังประเทศที่มีศักยภาพสูงอย่างเกาหลีใต้ ซึ่งมีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางมาไทยกว่า 1.86 ล้านคนในปี 2567 โดยคาดว่าจะแตะ 2 ล้านคน ภายในปีนี้ สร้างรายได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยราว 5 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ฝั่งนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปเกาหลีนั้น ถือเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยราว 59,000 บาทต่อทริป การมีบริการ Cross-Border QR Payment จึงเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่ช่วยส่งเสริมระบบเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ ผ่านการอำนวยความสะดวกด้านการใช้จ่ายให้ราบรื่นและปลอดภัย ไม่ต้องพกเงินสด ไม่ต้องแลกเงิน ได้รับอัตราแลกเปลี่ยนแบบ Realtime และสร้างประสบการณ์ Cashless Tourism ที่แท้จริง” นายไชยฤทธิ์กล่าว

ด้าน นายชเว วอนซอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีซี คาร์ด จำกัด หรือ BC Card บริษัทชั้นนำให้บริการทางการเงินของเกาหลีใต้ กล่าวว่า BC Card มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับธนาคารกรุงเทพซึ่งเป็นธนาคารชั้นนำของไทย เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีด้านการชำระเงินระหว่างประเทศให้แก่ผู้ใช้บริการและร้านค้าของทั้งสองประเทศ ทั้งยังมีความเชื่อมั่นว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยยกระดับบริการ BC Card ไปสู่ระดับภูมิภาคได้อย่างแข็งแกร่ง และเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานชำระเงินได้อย่างราบรื่นเมื่อเดินทางมาเยือนไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวเกาหลี ขณะเดียวกันก็พร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพื่อให้บริการ Cross-Border QR Payment สามารถรองรับการชำระเงินกับร้านค้าต่างๆ ในเกาหลีใต้ได้โดยเร็ว เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีเช่นนี้ให้แก่นักท่องเที่ยวชาวไทยเช่นกัน

สำหรับ BC Card ถือเป็นผู้ให้บริการชั้นนำด้านระบบชำระเงินในประเทศเกาหลีใต้ รองรับระบบการชำระเงินอย่างครอบคลุมทั้งบัตรเครดิต บัตรเดบิต และบัตรเติมเงิน รวมถึง Digital Payment Solutions และ Payment Processing ซึ่งมีเครือข่ายร้านค้าที่ใช้ระบบชำระเงินกว่า 3.5 ล้านแห่ง

ทั้งนี้ ปัจจุบันธนาคารกรุงเทพได้เปิดให้บริการ Cross-Border QR Payment ทั้งในรูปแบบ Inbound และ Outbound โดยมีเครือข่ายความร่วมมือกับ 8 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ลาว ฮ่องกง กัมพูชา (บริการเฉพาะขา Inbound) และล่าสุดคือเกาหลีใต้ ครอบคลุมทั้งฝั่งนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย และลูกค้าชาวไทยที่เดินทางไปต่างประเทศ เพื่อให้สามารถ “จ่ายง่าย ไม่ต้องพกเงินสด” ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูง ผ่านแอปธนาคารในประเทศของตนเอง และโมบายแบงก์กิ้งธนาคารกรุงเทพได้อย่างไร้รอยต่อ ทั้งยังตอกย้ำความเป็น ‘ธนาคารชั้นนำระดับภูมิภาค’ ที่พร้อมเชื่อมต่อโอกาสให้ลูกค้าในทุกมิติ

ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) นำโดยนางสาวพจณี คงคาลัย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายลูกค้าบุคคล นางสาวพรพิมล ตรงเที่ยงธรรม ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายผู้จัดการใหญ่ นายวีร์ วราชิต เจ้าหน้าที่บริหาร ระดับ Asistant Vice President ผู้จัดการภาคใต้ 1 ให้การต้อนรับ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานเปิดงาน นายสันติ วิริยะรังสฤษฎ์ ประธานจัดงาน และ นางสาวภาคนี วิริยะรังสฤษฎ์ ประธานจัดงานร่วม มหกรรมการเงิน Money Expo ในโอกาสให้เกียรติเข้าร่วมพิธีเปิดและเยี่ยมชมบูธธนาคารกรุงเทพ ซึ่งจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “It’s all connected with Bangkok Bank” เชื่อมต่อ Lifestyle ของลูกค้าในทุกๆ มิติ พร้อมเป็น “เพื่อนคู่คิด” เคียงข้างทุกเรื่องการเงิน ในงานมหกรรมการเงินหาดใหญ่ ครั้งที่ 15 (Money Expo Hatyai 2025) ระหว่างวันที่ 4 – 6 กรกฎาคม 2568 ณ หาดใหญ่ ฮอลล์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล หาดใหญ่

นางสาวพจณี คงคาลัย ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายลูกค้าบุคคล ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาคใต้นับเป็นพื้นที่เศรษฐกิจขนาดใหญ่ของประเทศ ที่มีทั้งกลุ่มนักลงทุนและผู้ประกอบการที่มีกำลังซื้อสูง จึงเป็นโอกาสดีที่ธนาคารกรุงเทพ ได้คัดสรรผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน เพื่อนำเสนอให้แก่ลูกค้าในจังหวัดสงขลาและจังหวัดใกล้เคียง โดยเฉพาะกลุ่มประกันสะสมทรัพย์ และสินเชื่อบ้านที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

การเข้าร่วมงานในครั้งนี้ ธนาคารได้จัดเตรียมผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน พร้อมโปรโมชันที่หลากหลาย เพื่อเชื่อมต่อทุก Lifestyle ของลูกค้าในทุกๆ มิติ ได้ง่าย สะดวก และปลอดภัย อาทิ

1. แบงก์แอสชัวรันส์ บริการประกันภัยหลากหลายรูปแบบที่ให้ความคุ้มครองอย่างครอบคลุมด้วยบริษัทพันธมิตรชั้นนำ ได้แก่ ประกันชีวิต บี ทูเกตเทอร์ (Be Together) จาก บจ. เอไอเอ และประกันชีวิตเกนเฟิสต์ (Gain 1st) จากบมจ. กรุงเทพประกันชีวิต หรือประกันวินาศภัย จาก บมจ.กรุงเทพประกันภัย
   พิเศษ สำหรับลูกค้าที่สมัครบริการแบงก์แอสชัวรันส์ภายในงาน พร้อมชำระค่าเบี้ยประกันภัยตามเงื่อนไขที่กำหนด รับบัตรของขวัญ Starbucks มูลค่าสูงสุด 1,000 บาท
2. กองทุนรวม หลากหลายกองทุนที่เลือกลงทุนได้ตามต้องการ ทั้งกองทุนความเสี่ยงต่ำ ปานกลาง ถึงสูง เช่น กองทุนตราสารหนี้ กองทุนตราสารทุน กองทุนต่างประเทศ รวมถึงกองทุนที่ให้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีเมื่อลงทุนตามเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด (RMF/Thai ESG) จากทั้ง บลจ.บัวหลวง (BBLAM) และ บลจ.บางกอกแคปปิตอล (BCAP) โดยลูกค้าที่ลงทุนในกองทุน RMF/Thai ESG ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป ภายในงาน รับฟรี กระเป๋า Fun Fund 1 ใบ/ท่าน มูลค่า 100 บาท
3. บริการแนะนำเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ (Introducing Agent : IA) กับ บมจ.หลักทรัพย์บัวหลวง และใช้บัญชีเงินฝากของธนาคารกรุงเทพ เพื่อเป็นบัญชีรับ–จ่ายค่าซื้อขายหลักทรัพย์อัตโนมัติ (ATS) รับฟรี บัวหลวง BLS utility bag 1 ใบ/ท่าน มูลค่า 200 บาท
4. สินเชื่อบ้าน รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ (เฉพาะลูกค้าลงทะเบียนในงาน) กรณีขอสินเชื่อเพื่อรีไฟแนนซ์ที่อยู่อาศัย และกรณีขอสินเชื่อเพื่อซื้อทรัพย์สินพร้อมขายของธนาคาร สำหรับการอยู่อาศัย ฟรี ค่าสำรวจและประเมินหลักประกัน ขั้นต่ำ 3,000 บาท/แปลง (ไม่รวม VAT)
   พิเศษ รับ Magic e-Voucher by Central Group มูลค่า 2,000 บาท จำนวน 150 รายแรก (เฉพาะผู้กู้หลัก) เมื่อสมัครและเบิกใช้วงเงินสินเชื่อบ้านบัวหลวงรีไฟแนนซ์ ตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป ระหว่างวันที่ 1 ก.ค. 68 – 30 ธ.ค. 68
5. สินเชื่อบัวหลวงพูนผล บ้านแลกเงิน สินเชื่ออเนกประสงค์ที่ใช้ที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกัน ในวงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท ระยะเวลากู้สูงสุด 30 ปี รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ (เฉพาะลูกค้าลงทะเบียนในงาน) และรับ Magic e-Voucher by Central Group มูลค่า 2,000 บาท สำหรับลูกค้าสินเชื่อบัวหลวงพูนผลที่ได้รับอนุมัติวงเงินสินเชื่อและจดจำนอง ตั้งแต่ 500,000 บาทขึ้นไป ตั้งแต่ 1 พ.ค. 68 – 30 ธ.ค. 68
6. บัวหลวงทรัพย์สินพร้อมขาย ที่มาพร้อมกับสินทรัพย์ทำเลดี ราคาเด่น
   • หมายเหตุ
     • กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนไหว
     • อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา
     • สินเชื่อบ้านบัวหลวง อยู่ระหว่าง 4.57% - 5.67% ต่อปี
     • สินเชื่อบ้านบัวหลวงรีไฟแนนซ์ อยู่ระหว่าง 4.56% - 4.70% ต่อปี
     • สินเชื่อบัวหลวงพูนผล บ้านแลกเงิน อยู่ระหว่าง 5.78% - 7.13% ต่อปี อัตราดอกเบี้ย MRR ณ วันที่ 8 พฤษภาคม 2568 = 6.90% ต่อปี โดยอัตราดอกเบี้ยลอยตัวสามารถเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ ตามประกาศธนาคารในเว็บไซต์ www.bangkokbank.com หรือประกาศ ณ สาขาธนาคาร
7. บัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ออนไลน์ เปิดบัญชีออนไลน์แบบง่าย ๆ ด้วยตนเอง เปิดง่าย ได้ทุกที่ผ่านโมบายแบงก์กิ้งธนาคารกรุงเทพ ไม่กำหนดยอดเงินฝากขั้นต่ำ พร้อมยกเว้นค่าธรรมเนียมข้ามเขต
   พิเศษ เปิดบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ e-Savings หรือ บัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์บัวหลวงเอ็กซ์ตร้าดิจิทัลพร้อมสมัครโมบายแบงก์กิ้งธนาคารกรุงเทพ รับกระเป๋าผ้า Limited edition 1 ใบ/ท่าน มูลค่า 199 บาท
8. บัตรบีเฟิสต์ ดิจิทัล ปลอดภัย มั่นใจทุกการใช้จ่าย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์นักช็อปยุคใหม่ อาทิ บัตรบีเฟิสต์ ดิจิทัล เอไอเอส พอยท์ สมัครฟรี ไม่มีค่าธรรมเนียม ช็อปออนไลน์ รับสูงสุด 50 เอไอเอสพอยท์ทุกเดือน
   พิเศษ สมัครบัตรดิจิทัลเอไอเอส พอยท์ ภายในงาน รับ Eco Bag 1 ใบ/ท่าน มูลค่า 590 บาท และเมื่อมียอดใช้จ่ายตามที่กำหนด รับเพิ่มกระเป๋า Baby Trunk 1 ใบ มูลค่า 3,990 บาท
9. Bangkok Bank Merchant Pro แอปฯรับชำระสินค้า/บริการ ด้วย QR Code เพื่อนคู่คิดร้านค้า เพิ่มความสะดวกยิ่งขึ้นด้วย Dashboard แสดงเมนูชัดเจน เข้าใจง่าย ใช้งานได้รวดเร็ว เมนูตะกร้าสินค้า เลือกสินค้าลงตะกร้าแล้วขายได้เลย QR Code รองรับวิธีการชำระเงินหลากหลายรูปแบบ และรายงานยอดขาย ดูยอดขายได้ง่าย ๆ พร้อมตัวกรองให้เลือกใช้งาน
   พิเศษ สมัครบริการ Bangkok Bank Merchant Pro ภายในงานรับ ผ้ากันเปื้อน 1 ผืน มูลค่า 350 บาท 1 สิทธิ/ร้านค้า

ธนาคารชั้นนำระดับภูมิภาค- ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) นำโดย นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ นางสาวนิรมาณ ไหลสาธิต กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และเลขานุการบริษัท นายไชยฤทธิ์ อนุชิตวรวงศ์ รองผู้จัดการใหญ่ นางสาวนิธาวดี ลิมโปดม ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ กิจการธนาคารต่างประเทศ พร้อมคณะผู้บริหาร นำคณะสื่อมวลชนไทยเดินทางไปยังประเทศอินโดนีเซีย เพื่อเข้าร่วมชมการดำเนินงานของธนาคารเพอร์มาตา สาขาจาการ์ตา และสาขาบาหลี โดยมีนางเมลิสา รุสลิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพอร์มาตา พร้อมคณะผู้บริหารระดับสูงร่วมให้การต้อนรับ นับเป็นการตอกย้ำถึงการผสานจุดแข็งของทั้งสองธนาคารเข้าด้วยกันเพื่อเสริมศักยภาพบริการ มอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ลูกค้า อีกทั้งยังเป็นช่องทางการจับคู่ทางธุรกิจที่มีประสิทธิภาพภายใต้การสนับสนุนด้านการเงินอย่างครบวงจร โดยชูธนาคารเพอร์มาตาเป็นจุดศูนย์กลางดึงนักธุรกิจเข้าลงทุนในประเทศอินโดนีเซียและภูมิภาคอาเซียน ทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และโครงการจากนโยบายเศรษฐกิจสีเขียว ตามยุทธศาสตร์การเชื่อมโยงอาเซียน(Connecting ASEAN) ของธนาคารกรุงเทพในฐานะ‘เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน’ ที่พร้อมสนับสนุนการค้า การลงทุนด้วยบริการทางการเงินที่ทันสมัย ครบวงจรจากทั้งสองธนาคาร หนุนการเติบโตทางธุรกิจของลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

ทั้งนี้ธนาคารกรุงเทพ ได้เข้าซื้อกิจการธนาคารเพอร์มาตาตั้งแต่ปี 2563 ส่งผลให้สัดส่วนสินเชื่อในต่างประเทศต่อสินเชื่อรวมของธนาคารกรุงเทพเพิ่มขึ้นจาก 17% เป็น 25% (ข้อมูล ณ ธันวาคม 2567) และทำให้ปัจจุบันธนาคารเพอร์มาตาเป็น 1 ใน 10 ของธนาคารที่มีสินทรัพย์รวมใหญ่ที่สุดในประเทศอินโดนีเซีย มีเครือข่ายสาขาให้บริการ 240 สาขา กระจายอยู่ใน 82 เมืองสำคัญทั่วประเทศ รองรับการให้บริการลูกค้ากว่า 6.2 ล้านราย (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568)

ธนาคารกรุงเทพ และ ธนาคารเพอร์มาตา บริษัทในเครือธนาคารกรุงเทพ เปิดเวทีเจาะลึก ‘อินโดนีเซีย’ ตลาดใหญ่ที่มั่นคง กับเป้าหมายการก้าวขึ้นเป็นเศษฐกิจสำคัญอับดับ 4 ของโลกภายในปี 2588 พร้อม เดินหน้าหนุนผู้ประกอบการไทยคว้าโอกาสทองทางธุรกิจ ด้วยศักยภาพเครือข่ายธนาคารเพอร์มาตากว่า 200 สาขาในอินโดนีเซีย ครอบคลุมลูกค้าบุคคล ธุรกิจในประเทศ และบริษัทต่างชาติที่ต้องการลงทุนในอินโดนีเซีย ตอกย้ำบทบาท ‘ธนาคารชั้นนำระดับภูมิภาค’ เชื่อมโอกาสทางธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยมีอัตราการเติบโตของ GDP ต่อหัวจาก 3,370 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2558 เพิ่มขึ้นเป็น 4,980 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 แสดงให้เห็นถึงระดับความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้น ทำให้อินโดนีเซียเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดสำหรับนักลงทุน โดยธนาคารกรุงเทพมีความพร้อมให้การสนับสนุนผู้ประกอบการไทยในการเข้าไปลงทุนในอินโดนีเซีย ด้วยประสบการณ์ ความเข้าใจ และเครือข่ายท้องถิ่น ในฐานะหนึ่งในบริษัทไทยกลุ่มแรกที่เข้าไปลงทุนในอินโดนีเซีย ตั้งแต่ปี 2511 และในปี 2563 ยังได้ตอกย้ำความมั่นใจในศักยภาพของอินโดนีเซียด้วยการลงทุนมูลค่า 2.3 พันล้านดอลาร์สหรัฐในธนาคารเพอร์มาตา ซึ่งนับเป็นการเข้าซื้อกิจการธนาคารในอาเซียนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ส่งผลให้ปัจจุบันธนาคารเพอร์มาตา ก้าวขึ้นจากธนาคารอันดับ 12 สู่การเป็นหนึ่งใน 10 อันดับแรก ด้วยเครือข่ายกว่า 200 สาขา ให้บริการครอบคลุมทั้งลูกค้าบุคคล ธุรกิจในประเทศ และบริษัทต่างชาติที่ต้องการลงทุนในอินโดนีเซีย

“ธนาคารกรุงเทพ เชื่อมั่นในศักยภาพของอินโดนีเซียมาโดยตลอด ที่ผ่านมาเราได้สั่งสมความรู้ ความเข้าใจ และเครือข่ายในท้องถิ่น พร้อมทั้งส่งเสริมให้บริษัทไทยอื่น ๆ เห็นถึงโอกาสในอินโดนีเซียผ่านการแบ่งปันประสบการณ์และความสำเร็จของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจุบันการดำเนินธุรกิจในยุคที่มีแรงกระเพื่อมจาก 4 ปัจจัย ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ และการย้ายฐานการผลิตรวมถึงกระแสย้อนกลับของโลกาภิวัตน์ นอกจากนี้การดำเนินนโยบายของประเทศขนาดใหญ่ยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อความไม่แน่นอนให้กับเศรษฐกิจโลก จึงเชื่อมั่นว่าอาเซียนยังคงเป็นศูนย์กลางแห่งความสงบ ซึ่งไทยและอินโดนีเซียในฐานะสองเศรษฐกิจใหญ่ของภูมิภาค มีบทบาทสำคัญในการสร้างโอกาสที่มั่นคงและยั่งยืนร่วมกัน ซึ่งจะช่วยป้องกันผลกระทบจากกระแสเศรษฐกิจโลก และยังช่วยเชื่อมโยงนักลงทุนกับโอกาสในอาเซียนและภูมิภาคอื่นๆ อีกด้วย” นายชาติศิริ กล่าว

นางเมลิสา รุสลิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพอร์มาตา อินโดนีเซีย ในเครือธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า อินโดนีเซียมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ มีจำนวนประชากรสูงถึง 281 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้มีสัดส่วนถึง 68% ที่อยู่ในกลุ่มวันทำงาน ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและสังคม ในการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า โดยเฉพาะการดำเนินยุทธศาสตร์ “Golden Indonesia 2045” ของรัฐบาลอินโดนีเซียที่มุ่งเน้นการขับเคลื่อนโครงการเศรษฐกิจสีเขียว การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และโครงการเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายที่จะเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 4 ของโลกภายในปี 2588 รัฐบาลอินโดนีเซียยังมีนโยบายเชิงรุกในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ผ่านมาตรการสนับสนุน ทั้งในด้านกฎหมาย สิทธิประโยชน์ และโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อภาคธุรกิจ ทั้งนี้ธนาคารเพอร์มาตาพร้อมผลักดันลูกค้าและพันธมิตรในภูมิภาคเพื่อคว้าโอกาส ผ่านบริการและผลิตภัณฑ์ทางการเงินอย่างครบวงจร พร้อมให้คำปรึกษาเชิงลึกด้วยเครือข่ายกว่า 240 สาขาที่ครอบคลุม 82 เมืองสำคัญทั่วอินโดนีเซีย ให้ทุกธุรกิจดำเนินการได้อย่างราบรื่น

“ธนาคารกรุงเทพและธนาคารเพอร์มาตา พร้อมใช้ศักยภาพเครือข่าย บริการ และความเชี่ยวชาญในพื้นที่ ให้คำปรึกษาและสนับสนุนสร้างความเชื่อมโยงการค้าและการลงทุนสู่ประเทศอินโดนีเซีย โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นโอกาส อาทิ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งมีมูลค่าตลาดมากกว่า 2.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงและวัตถุดิบจากไทยยังเป็นที่นิยมบริโภคของคนอินโดนีเซียและมีการนำเข้าสูงเป็นอันดับต้นๆ จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสของผู้ประกอบการไทย ในการเข้ามาทำตลาดหรือการค้าในอิโดนีเซียมากยิ่งขึ้น” นางเมลิสา กล่าว

ปลุกสำนึกรักษ์ทะเลไทย- ธนาคารกรุงเทพ ในฐานะ “เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน” นำโดย ดร.จิระวัฒน์ ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ เจ้าหน้าที่บริหารระดับ Vice President ฝ่ายผู้จัดการใหญ่ นายอภิวัฒน์ ปุณโณปกรณ์ นายสุวิทย์ อินทรเฉลิม เจ้าหน้าที่บริหารระดับ Vice President ฝ่ายการประชาสัมพันธ์ และ นายสาโรจน์ โรจนสาโรจน์ ผู้จัดการภาค 3 ลูกค้าธุรกิจรายกลาง ต่างจังหวัด พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร พนักงานสมาชิก “Bualuang Green Team” และนักศึกษาโครงการฝึกอบรมพิเศษ “ธนาคารคู่บ้านคู่เมือง” (Student Internship Program หรือ SIP) รุ่น 78 ร่วมกิจกรรม Bualuang Green Trip ครั้งที่ 2 “เก็บขยะ ปลูกป่า ปล่อยปู มอบถุงยังชีพ” ณ โครงการปักไม้ไผ่ชะลอคลื่นและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติชายฝั่งทะเล ตำบลโคกขาม อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งได้ร่วมกับองค์การบริหารส่วนตำบลโคกขาม และสำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 8 เพื่อปลูกจิตสำนึกสร้างการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และหวงแหนสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม ได้แก่ กิจกรรมปล่อยปู เพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศและประชากรปูในธรรมชาติ กิจกรรมปลูกป่าชายเลน จำนวน 1000 ต้น เพื่อสร้างแนวป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งและเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ เช่น กุ้ง ปูและปลา กิจกรรมเก็บขยะบริเวณริมฝั่งป่าชายเลน เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและลดผลกระทบต่อสัตว์น้ำและพืชจำนวน 1,250 กิโลกรัม พร้อมกันนี้ธนาคารยังได้มอบอุปกรณ์ปล่อยพันธุ์ปู ชุดถังขยะแยกประเภท ให้กับองค์การบริหารส่วนตำบลโคกขาม สำหรับนำไปใช้ในการทำกิจกรรมในพื้นที่ และมอบถุงยังชีพสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวันให้กับผู้ป่วยติดเตียงที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวด้วย

สำหรับพื้นที่กิจกรรมนี้เป็นพื้นที่ ที่ธนาคารกรุงเทพได้จับมือหน่วยงานราชการท้องถิ่น และภาคีเครือข่ายชุมชน จังหวัดสมุทรสาคร ดำเนินโครงการ ‘Bualuang Save the Earth: รักษ์ท่าจีน’ ที่มีระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี ตั้งแต่ปี 2566-2570 เพื่อแก้ไขปัญหาขยะในท้องทะเลไทย ด้วยการติดตั้งเครื่องมือดักขยะบริเวณปากแม่น้ำท่าจีน ก่อนไหลลงสู่ทะเลอ่าวไทย ควบคู่กับสร้างความรู้เรื่องการคัดแยกขยะให้แก่ประชาชนในพื้นที่เพื่อไม่ให้ทิ้งขยะลงแม่น้ำ จัดตั้งธนาคารขยะ โดยเปลี่ยนขยะให้เป็นเงิน มุ่งแก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน