วางแผนภาษีเข้าใจง่าย รู้ก่อน ประหยัดก่อน

เรื่องภาษีสำหรับหลาย ๆ คนอาจมองเป็นเรื่องไกลตัว แต่จริง ๆ แล้วเป็นสิ่งที่เราต้องเจอทุกปี แต่ทำอย่างไรให้เราสามารถบริหารจัดการกับจำนวนภาษีที่ต้องชำระในแต่ละปีได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เชื่อว่าบางคนยังคงสงสัยและมีคำถามว่า “คิดภาษียังไง? ต้องเสียภาษีเท่าไหร่? จะลดหย่อนภาษีต้องทำยังไง? ก่อนอื่นเลยเรามาทำความเข้าใจกับ 3 เรื่องต้องรู้ก่อนเริ่มวางแผนภาษี เพื่อทำความเข้าใจและวางแผนได้อย่างถูกต้อง

เงินเดือนเท่านี้ ต้องเสียภาษีเท่าไหร่
คนไทยทุกคนที่มีเงินได้ตั้งแต่ 120,000 บาท ต่อปี จำเป็นต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่จะเสียภาษีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับ “เงินได้สุทธิ” ของตนเอง ซึ่งคิดจากการนำเงินได้ทั้งปี หักค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายกำหนด และหักลดหย่อนภาษีที่มีทั้งหมด หากรายได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาท จะได้รับการยกเว้นภาษี แต่หากเกินกว่านั้นก็จะเสียภาษีในอัตราเริ่มต้น 5% และจะสูงขึ้นตามอัตราภาษีแบบขั้นบันได ดังนั้นยิ่งเรามีเงินได้สุทธิมาก ยิ่งเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้น
|
อัตราภาษี
|
|
เงินได้สุทธิต่อปี (บาท)
|
อัตราภาษีเงินได้
|
|
0 – 150,000
|
ยกเว้นภาษี
|
|
150,001 – 300,000
|
5%
|
|
300,001 – 500,000
|
10%
|
|
500,001 – 750,000
|
15%
|
|
750,001 – 1,000,000
|
20%
|
|
1,000,001 – 2,000,000
|
25%
|
|
2,000,001 – 5,000,000
|
30%
|
|
5,000,001 ขึ้นไป
|
35%
|
สูตรการคำนวณ
- เงินได้สุทธิ = รายได้รวมทั้งปี – ค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายกำหนด– ค่าลดหย่อนภาษี
- ภาษีที่ต้องจ่าย = [(เงินได้สุทธิ – เงินได้สุทธิสูงสุดของขั้นก่อนหน้า) x อัตราภาษี] + ภาษีสูงสุดของขั้นบันไดก่อนหน้า
หมายเหตุ: ที่มาข้อมูลจากเว็บไซต์กรมสรรพากร

รู้จักสิทธิลดหย่อนภาษี แต่ละบุคคลมีสิทธิได้รับ “ค่าลดหย่อน” จากรายการพื้นฐานเพื่อนำมาลดภาษีที่ต้องชำระให้ลดลง หรือขอคืนภาษีได้เพิ่มขึ้นในแต่ละปี ซึ่งการวางแผนจัดการสิ่งที่สามารถใช้ลดภาษีส่วนนี้ให้ลดลงได้ คือ การใช้ค่าลดหย่อนภาษีที่มีให้คุ้มค่าที่สุด โดยเงื่อนไขเป็นไปตามที่กรมสรรพากร กำหนด ซึ่งรายการพื้นฐานเหล่านั้นที่เราควรรู้ประกอบด้วย
- ลดหย่อนภาษีส่วนตัวและครอบครัว เช่น ลดหย่อนภาษีส่วนตัว, ลดหย่อนภาษีบุตร, ลดหย่อนภาษีบิดามารดา, ลดหย่อนภาษีผู้พิการ เป็นต้น
- ลดหย่อนภาษีด้วยเบี้ยประกัน เช่น เบี้ยประกันชีวิตทั่วไป, ประกันแบบสะสมทรัพย์, เบี้ยประกันสุขภาพ, เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ เป็นต้น
- ลดหย่อนภาษีด้วยกองทุน เช่น กองทุนประกันสังคม, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD), กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG), กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เป็นต้น
- ลดหย่อนอื่น ๆ หรือลดหย่อนด้วยมาตรการรัฐ เช่น เงินบริจาค, มาตรการ Easy e-Receipt, มาตรการส่งเสริมการติดตั้ง Solar Rooftop ในบ้านอยู่อาศัย, ดอกเบี้ยที่อยู่อาศัย เป็นต้น
โดยแต่ละรายการลดหย่อน สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้เท่าไหร่บ้าง ไปดูกัน
- ค่าลดหย่อนส่วนตัวและครอบครัว
- ค่าลดหย่อนส่วนตัว: 60,000 บาท
- ลดหย่อนคู่สมรส (ไม่มีเงินได้): 60,000 บาท
- ค่าลดหย่อนบุตร: 30,000 บาทต่อคน (บุตรคนที่ 2 เป็นต้นไปที่เกิดตั้งแต่ปี 2561 บุตรคนที่ 2: 60,000 บาทต่อคน)
- ค่าฝากครรภ์และคลอดบุตร: สูงสุด 60,000 บาทต่อครรภ์ (หักลดหย่อนได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 60,000 บาท)
- ค่าเลี้ยงดูบิดามารดา (อายุ 60 ปีขึ้นไป): 30,000 บาทต่อคน
- ค่าอุปการะผู้พิการหรือทุพพลภาพ: 60,000 บาทต่อคน
- ประกัน เงินออม และการลงทุน
- ประกันสุขภาพ: สูงสุด 25,000 บาท (หักลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 25,000 บาท)
- ประกันชีวิต: หักลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาทหมายเหตุ: ประกันสุขภาพเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตแล้ว จะต้องไม่เกิน 100,000 บาท
- ประกันชีวิตแบบบำนาญ: สุงสุด 200,000 บาท หักลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง ไม่เกินร้อยละ15 ของเงินได้ แต่ไม่เกิน
200,000 บาท
- เบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดาของผู้มีเงินได้และคู่สมรส หักลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท
- สมทบประกันสังคม: สูงสุด 9,000 บาทหักลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง ไม่เกิน 9,000 บาท
- กองทุน RMF: 30% ของรายได้ สูงสุด 500,000 บาทหักลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง ไม่เกิน ร้อยละ 30 ของเงินได้ พึงประเมิน แต่ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
- กองทุน Thai ESG: 30% ของรายได้ สูงสุด 300,000 บาท หักลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง ไม่เกิน ร้อยละ 30 ของ เงินได้พึงประเมิน แต่ต้องไม่เกิน 300,000 บาท
- กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.): 30% ของรายได้ สูงสุด 500,000 บาท หักลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ ไม่เกิน 500,000 บาท
- กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.): สูงสุด 30,000 บาท (หักลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 30,000 บาท)
- เงินบริจาคหรือมาตรการรัฐ
- เงินบริจาคทั่วไป: ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน หักได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
- เงินบริจาคให้แก่พรรคการเมือง: สูงสุด 10,000 บาท หักลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท
- เงินบริจาคสนับสนุนการศึกษา การกีฬา และโรงพยาบาลรัฐ (e-Donation): 2 เท่าของที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของ เงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
- ดอกเบี้ยที่อยู่อาศัย: หักค่าลดหย่อนเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
หมายเหตุ: ที่มาข้อมูลจากเว็บไซต์กรมสรรพากร

มือใหม่เริ่มจ่ายภาษี ต้องเตรียมอะไรบ้าง
การยื่นภาษีประจำปี จะต้องยื่นจ่ายปีละ 1 ครั้ง ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม ของปีถัดไป สำหรับผู้มีเงินได้สุทธ ิเข้าเกณฑ์ตรงตามที่กรมสรรพากร กำหนด โดยเอกสารสำคัญที่ต้องเตรียม ประกอบด้วย ใบเสร็จการซื้อกองทุนหรือประกันลดหย่อนภาษี, หลักฐานการบริจาค, หนังสือรับรองดอกเบี้ยสินเชื่อที่พักอาศัยจากธนาคาร
ช่องทางการยื่นจ่ายภาษีมี 2 ช่องทาง
- ยื่นแบบกระดาษด้วยตนเองที่สำนักงานสรรพากร
- ยื่นออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ efiling.rd.go.th
แต่ที่สำคัญนอกจากการวางแผนล่วงหน้าแล้ว อย่าลืมซื้อกองทุนหรือประกันลดหย่อนภาษีให้ทันระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคมของปีภาษี เพื่อให้ทันรอบในการยื่นจ่าย
การวางแผนภาษีล่วงหน้าไม่เพียงช่วยลดภาระทางการเงิน แต่ยังทำให้เรามีเงินเหลือเก็บเยอะขึ้นอีกด้วย หากอยากลองคำนวณภาษี แต่ไม่รู้ว่าคิดยังไง ต้องชำระภาษีเท่าไหร่ และต้องซื้อรายการเพื่อลดหย่อนอีกเท่าไหร่ มาเปลี่ยนภาษีให้เป็นเรื่องง่ายด้วยเครื่องมือ
“Financial Calculator” เครื่องมือที่ช่วยให้การวางแผนทางการเงินและการคำนวณภาษีของเราเป็นเรื่องง่ายและแม่นยำมากขึ้น รู้แบบนี้แล้ว มาเริ่มวางแผนประหยัดภาษีล่วงหน้าได้ที่
https://www.bangkokbank.com/Financial-Calculators
