ชีวิตไม่ “เฟ้อ” เมื่อเราวางแผน: เคล็ดลับฉบับย่อ พิชิตค่าครองชีพสูง
มาวางแผนบริหารเงินด้วยเคล็ดลับฉบับย่อที่จะช่วยให้ชีวิตของคุณไม่ "เฟ้อ" และพร้อม "พิชิตค่าครองชีพสูง" ไปด้วยกัน

“เงินเดือน (หรือรายได้) เข้าปุ๊บ เพิ่งต้นเดือนก็เหมือนจะออกไปหมดแล้ว” อาจจะเป็นคำพูดที่หลายคนกำลังเผชิญอยู่กับความท้าทายในสภาวะเศรษฐกิจถดถอย บางทีอาจไม่ใช่เพราะเราใช้เงินฟุ่มเฟือยขึ้น แต่เป็นเพราะ "เงินเฟ้อ" ที่เป็นตัวการสำคัญ
เงินเฟ้อคืออะไร?
เงินเฟ้อ คือ ภาวะที่ราคาสินค้าและบริการโดยรวมปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ “มูลค่าของเงินลดลง” หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เงินจำนวนเท่าเดิม แต่เราซื้อของได้น้อยลง ลองสังเกตกันดูตัวอย่างง่ายๆ ในชีวิตประจำวันว่า
- ข้าวแกงร้านคุณป้าข้างออฟฟิศที่เราทานประจำ ปีที่แล้วเราอาจจ่าย 55 บาท แต่ปีนี้เราต้องจ่ายเพิ่มอีกในราคา 65 บาท เพื่อให้ได้ข้าวแกงปริมาณเท่าเดิม
- ของใช้ในบ้าน เช่น แชมพู สบู่ ยาสีฟัน ผงซักฟอก ที่เคยซื้อได้ในงบเท่าเดิม กลับทำให้ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
- ค่าโดยสารที่เราต้องจ่ายที่ปรับเพิ่มขึ้น เมื่อรวมกันทั้งเดือน ก็เป็นเงินไม่น้อย
- ค่าน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น ก็กระทบกระเป๋าสตางค์ของเราไม่น้อยเลยทีเดียว
แล้วถ้ายังคงมีรายได้เท่าเดิม จะทำยังไงดี? มาวางแผนรับมือด้วย "เคล็ดลับฉบับย่อ" ที่จะช่วยให้ชีวิตของคุณไม่ "เฟ้อ" และพร้อม "พิชิตค่าครองชีพสูง" ไปด้วยกัน

วางแผนให้ดี... ชีวิตก็ไม่ “เฟ้อ”
เมื่อรายได้เท่าเดิม แต่รายจ่ายเพิ่มขึ้น สิ่งแรกที่เราทำได้คือ "ควบคุมรายจ่าย"
- "จด" ก็รู้ "จ่าย" ก็เห็น: ทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายประจำวัน
- ทำไมต้องจด? การจดบันทึกช่วยให้เราเห็นภาพรวมว่าเราใช้เงินไปกับอะไรบ้าง จะได้เห็นภาพรวม รู้จุดที่รั่วไหลและควบคุมได้ถูกจุด
- เริ่มยังไง? เลือกรูปแบบที่ถนัด ไม่ว่าจะเป็นสมุดจดสักเล่ม ตาราง Excel ง่ายๆ หรือแอปพลิเคชันในมือถือ บันทึกว่าแต่ละวันจ่ายค่าอะไร จำนวนเงินเท่าไหร่ ยอดคงเหลือทั้งหมดกี่บาท ลองแบ่งหมวดหมู่ให้ชัดเจน เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าบันเทิง ค่าใช้จ่ายส่วนตัว เพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนขึ้น
- เลือกสิ่งที่ใช่ เข้าใจก่อนซื้อ
- วางแผนก่อนซื้อ: ลองลิสต์รายการที่ต้องซื้อก่อน เพื่อควบคุมงบและลดการซื้อของไม่จำเป็น
- ใช้เวลาเปรียบเทียบราคาก่อน อย่าเพิ่งรีบซื้อ เราอาจเจอของที่ถูกกว่า หรือโปรโมชันดีๆ ก็ได้
- "ออม" ก่อน "ใช้"
- วินัยคือหัวใจของการออม ถ้าใครยังไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง ลองเริ่มจากสูตรบริหารเงิน 50-30-20 ที่ช่วยคุมรายรับ-รายจ่ายให้อยู่หมัด ปรับเปลี่ยนสัดส่วนได้ตามไลฟ์สไตล์และเป้าหมายของแต่ละคน
- ตัวอย่าง สมมติว่ามีรายได้สุทธิ 30,000 บาท เราจะแบ่งรายได้ออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ ก็คือ
- 50% ค่าใช้จ่ายจำเป็นในชีวิตประจำวัน = 15,000 บาท ถ้าขาดส่วนนี้ไปแล้วกระทบกับคุณภาพชีวิตของเราแน่นอน เช่น ค่าน้ำค่าไฟ ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเดินทาง เป็นต้น
- 30%: ค่าใช้จ่ายเพื่อเติมความสุขให้ตัวเอง = 9,000 บาท เช่น อาหารมื้อพิเศษ ซื้อของที่อยากได้ ทริปท่องเที่ยว หรือค่าบริการสมาชิกต่างๆ เป็นต้น แม้จะกันส่วนนี้ไว้แล้ว แต่ก็ควรหมั่นทบทวนให้รอบคอบว่ามีความจำเป็นจริงหรือไม่ ลด ละ เลิก ได้หรือเปล่า เพราะบางอย่างก็อาจกลายเป็นภาระโดยไม่รู้ตัว หรือเกินงบที่ตั้งไว้
- 20%: สำหรับการออมและลงทุน = 6,000 บาท เพื่อเป็นเงินสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉิน หรือเพื่อเป้าหมายในอนาคต เช่น เรียนต่อ สร้างครอบครัว ซื้อบ้าน เกษียณอายุ ฯลฯ เราแบ่งเงินออกเป็นก้อนๆ ตามเป้าหมาย เช่น 2,000 บาท เก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉินในบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ เพื่อเตรียมเรียนต่ออีก 2,000 บาท และอีก 2,000 บาทไว้ใช้ยามเกษียณอย่างกองทุนรวม RMF เป็นต้น
เพิ่มพลังกระเป๋าสตางค์: สร้างรายได้เสริมสไตล์ Passive Income
เมื่อ “ควบคุมรายจ่าย” ได้แล้ว ถึงเวลาที่จะมองหาหนทางเพิ่ม "รายได้" เพื่อให้เรามีเงินเหลือเก็บมากขึ้น และสร้างความมั่นคงในระยะยาว ที่สำคัญคือ การสร้าง "Passive Income" หรือรายได้ที่เกิดจากการสร้างหรือเป็นเจ้าของสินทรัพย์ โดยเราไม่ต้องลงแรงทำงานทุกครั้งหรือตลอดเวลา ซึ่งต่างจากรายได้แบบ Active Income (เช่น เงินเดือนจากการทำงานประจำ)
หลายคนอาจเข้าใจผิดว่า Passive Income คือ รายได้ที่ได้มาโดยไม่ต้องลงมือทำอะไรเลย จริงๆ แล้ว Passive Income คือ ผลลัพธ์ที่เกิดจากการลงทุนลงแรงอย่างหนักก่อนในระยะแรก เพื่อให้เกิดระบบหรือสินทรัพย์ที่สร้างเงินให้เราในระยะยาวโดยที่เราไม่ต้องทำงานตลอดเวลาต่างหาก

2 แนวทางการสร้าง Passive Income สำหรับผู้เริ่มต้น
- ลงทุน "เวลา" และ "แรง" จากทักษะและความสามารถที่เรามี
ลองสำรวจตัวเองดูว่าคุณมีความเชี่ยวชาญด้านไหน คุณสนใจหรือถนัดเรื่องใดบ้าง ไม่ว่าจะภาษา ทำอาหาร เขียนหนังสือ ออกแบบกราฟิก หรือถ่ายภาพ เป็นต้น ลองนำทักษะเหล่านี้มาสร้างสรรค์เป็นผลงานเพื่อให้กลายเป็นทรัพย์สินที่สร้างเป็นรายได้เสริม เพิ่มพลังเงินในกระเป๋าให้เราได้ ตัวอย่างเช่น
- คอร์สเรียนออนไลน์: ถ้าคุณมีความรู้หรือทักษะด้านไหนเป็นพิเศษ แทนที่จะสอนแบบเป็นครั้งๆ ลองเปลี่ยนมาสร้าง
คอร์สออนไลน์ที่ผู้เรียนสมัครเข้ามาเรียนได้ตลอดเวลาเพื่อสร้างรายได้ต่อเนื่อง
- ดีไซน์ดิจิทัล: สร้างสรรค์งานดีไซน์กราฟิก เทมเพลต ธีม เพื่อขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ หรือจะขายรูปภาพคุณภาพดีที่คุณถ่ายเองบนเว็บไซต์ขายภาพสต็อก ซึ่งสามารถขายซ้ำได้ไม่จำกัดจำนวน
- Affiliate Marketing: เพียงแค่มีมือถือเครื่องเดียว คุณก็สามารถแนะนำสินค้าหรือบริการผ่าน link เฉพาะของคุณผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ได้แล้ว เมื่อมีคนกดคลิก link และซื้อสินค้า ก็จะได้ค่าคอมมิชชั่นตามที่ตกลง ไม่ต้องลงทุนหรือมีสต็อกของเก็บไว้เอง
- ลงทุนให้เงินงอกเงย: เริ่มต้นง่ายๆ สำหรับมือใหม่
เมื่อเราเริ่มสะสมความมั่งคั่งและมีเงินเก็บ ต่อมาก็อาจลองมองวิธีทำให้เงินงอกเงย สำหรับมือใหม่ การลงทุนไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด แต่ก็ไม่ใช่เรื่องของการ "รวยลัด รวยเร็ว" โดยไม่ศึกษาให้เข้าใจให้ถ่องแท้ สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้และเริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตัวอย่างวิธีสร้าง Passive Income จากการลงทุนสำหรับมือใหม่
- เงินฝากออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง: จุดเริ่มต้นที่ปลอดภัยและง่ายที่สุดสำหรับมือใหม่ แม้ผลตอบแทนอาจไม่สูงเท่าการลงทุนอื่นๆ แต่มีสภาพคล่องสูง ความเสี่ยงต่ำแบบไม่ต้องคอยกังวลใจ
- กองทุนรวม: หากต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นและรับความเสี่ยงได้มากขึ้นอีกนิด กองทุนรวมก็เป็นอีกวิธีที่เหมาะกับมือใหม่ เพราะเป็นการลงทุนที่มีมืออาชีพคอยดูแลและบริการจัดการให้ มีตัวเลือกการลงทุนที่หลากหลายและเลือกความเสี่ยงที่รับไหวได้ เช่น กองทุนรวมตลาดเงิน, กองทุนรวมตราสารหนี้, กองทุนรวมผสม เป็นต้น ผลตอบแทนจากกองทุนรวมจะได้จากส่วนต่างราคาจากการขายหน่วยลงทุน และเงินปันผล แต่ขอให้ตระหนักไว้ว่าทุกการลงทุนมีความเสี่ยง เรามีโอกาสที่จะไม่ได้รับเงินคืนเท่ากับเงินต้นที่จ่ายหรือลงทุนไปด้วย
-
แนะนำสำหรับมือใหม่
- ศึกษาให้เข้าใจ ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่ให้รู้และเข้าใจหลักการทำงานของสินทรัพย์
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจลงทุน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นคำแนะนำที่เหมาะสมกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของคุณ
- ลงทุนตามความเสี่ยงที่รับได้ เพราะทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ประเมินตัวเองก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
- ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
แม้ในยุคเงินเฟ้อที่ข้าวของแพงขึ้น รายได้ยังเท่าเดิม เราก็ยังมีหนทางที่จะเอาตัวรอดและสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเองได้ หัวใจสำคัญคือ
การรู้จักบริหารจัดการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่หยุดที่จะมองหาโอกาสในการสร้างรายได้เสริม ช่วยให้ชีวิตของคุณไม่ "เฟ้อ" และพิชิตค่าครองชีพสูงได้อย่างแน่นอน