
Online Banking
ลูกค้าบุคคล
- บัวหลวง ไอแบงก์กิ้ง
- บัวหลวง ไอแบงก์กิ้ง
- บัวหลวง ไอแบงก์กิ้ง
- โมบายแบงก์กิ้ง
- โมบายแบงก์กิ้ง
- โมบายแบงก์กิ้ง
- บัวหลวง ไอฟันด์
เคยรู้สึกไหม...ว่าเงินเดือนออกแป๊บเดียวก็หายหมด และไม่แน่ใจว่าใช้กับอะไรไปบ้าง?
ถ้าเคยรู้สึกแบบนี้ ไม่ได้แปลว่าบริหารเงินไม่เก่ง แค่ยังไม่ได้วางแผนด้วย “วิธีที่ใช่” ในการจัดระเบียบการเงิน
วันนี้เรามาลองดูเทคนิคที่ได้รับความนิยมอย่างมาก และเริ่มต้นได้ทันที คือ “สูตร 50 30 20” ซึ่งถูกออกแบบมาให้เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน และเหมาะสมกับคนที่เพิ่งเริ่มต้นจัดระเบียบการใช้เงินของตัวเอง
สูตรบริหารเงิน 50 30 20 คืออะไร?
สูตร 50 30 20 มีที่มาจากหนังสือ All Your Worth: The Ultimate Lifetime Money Plan โดยเอลิซาเบธ วอร์เรน (Elizabeth Warren) และอมีเลีย วอร์เรน ทีอากิ (Amelia Warren Tyagi) เสนอวิธีการบริหารเงินที่เข้าใจง่ายและนำไปใช้ได้จริง โดยแบ่งสัดส่วนรายได้ในแต่ละเดือนออกเป็น 3 ส่วน เพื่อให้ใช้จ่ายได้อย่างสมดุลและมีเงินเหลือเก็บ แบ่งออกเป็น:
โดยสูตรนี้เป็นแนวคิดตั้งต้น ซึ่งสามารถปรับสัดส่วนให้เหมาะกับเงื่อนไขของแต่ละคนได้ เช่น ถ้ารายจ่ายจำเป็นเกิน 50% ก็อาจลดส่วนอื่นลงชั่วคราว หลักสำคัญคือการรู้จักบริหารเงินให้สอดคล้องกับชีวิตจริง และมีวินัยในการออมอย่างต่อเนื่อง
50% รายจ่ายจำเป็น — สิ่งที่ต้องจ่ายยังไงก็ต้องจ่าย
สัดส่วนนี้คือครึ่งหนึ่งของรายได้ที่ใช้สำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็น เช่น ค่าที่พักอาศัย ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าสาธารณูปโภค ค่าผ่อนบ้านหรือรถ และค่าประกัน เป็นต้น ซึ่งส่วนนี้ถือเป็นพื้นฐานของการดำเนินชีวิต การจะรู้ว่าอะไรบ้างที่ควรอยู่ใน 50% ของรายจ่ายจำเป็น ต้องเริ่มจากการแยกให้ออกระหว่าง "Need" ที่หมายถึงสิ่งจำเป็นจริง ๆ กับ "Want" ที่เป็นของอยากได้แต่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต การแยกสองสิ่งนี้ให้ชัดเจนจะช่วยให้จัดงบได้แม่นยำขึ้น และไม่เผลอรวมรายจ่ายฟุ่มเฟือยเข้ามาในส่วนนี้ ถ้ารายจ่ายจริงเกินกว่านี้มาก อาจเป็นสัญญาณเตือนว่ารูปแบบการใช้ชีวิตกำลังไม่สมดุล
ตัวอย่างเช่น ถ้ามีรายได้ 30,000 บาทต่อเดือน เงินในหมวดนี้จะใช้ได้ 15,000 บาท ถ้าเช่าคอนโดเดือนละ 10,000 บาท และมีค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่น ๆ เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง รวมแล้วอีก 6,000 บาท เท่ากับใช้ไปแล้ว 16,000 บาท หรือประมาณ 53% ของรายได้ ให้ลองทบทวนดูว่ามีส่วนไหนที่สามารถปรับลดได้บ้าง เช่น ย้ายที่อยู่ไปเช่าคอนโดที่ถูกลง หรือลดค่าอาหาร ค่าเดินทาง เพื่อให้กลับมาอยู่ในกรอบที่เหมาะสมมากขึ้น
แต่ถ้าปรับลดรายจ่ายแล้วยังไม่พอ เช่น ลดค่าอาหารแล้ว แต่ยังมีรายจ่ายคงที่อย่างค่าเช่าต่าง ๆ ที่ลดไม่ได้ หรือมีภาระผ่อนชำระบางอย่างที่เลี่ยงไม่ได้ อาจต้องยอมให้เกินจากกรอบ 50% ชั่วคราว แล้วค่อย ๆ วางแผนกลับเข้าสู่สมดุลโดยอาจพิจารณาหาช่องทางเพิ่มรายได้ควบคู่กันไป เช่น ทำของที่ถนัดขายทางออนไลน์ รับงานฟรีแลนซ์จากทักษะที่มี หรือหาค่าตอบแทนจากงานอดิเรกเล็ก ๆ ที่ทำได้หลังเลิกงาน เช่น ทำของที่ถนัดขายทางออนไลน์ อย่างการถ่ายภาพ ทำอาหารขาย หรือดูแลเพจที่มีคนติดตาม เริ่มจากเล็ก ๆ แล้วค่อยขยายในแบบที่ไม่กดดันตัวเองจนเกินไป
30% ความสุขส่วนตัว — ใช้เพื่อชีวิตที่มีความหมาย
ตรงนี้คือพื้นที่ของความสุข ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง ท่องเที่ยว กาแฟแก้วโปรด หรือของที่ซื้อแล้วรู้สึกดี การให้ความสำคัญกับความสุขไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือย แต่เป็นส่วนหนึ่งของการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ขอเพียงไม่ให้เกิน 30% ของรายได้
ในบางเดือนที่มีความสุขเพิ่มขึ้น เช่น วันเกิด หรือวันหยุดยาว การเตรียมเงินในหมวดนี้เอาไว้ ก็ช่วยให้ใช้จ่ายได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิด และไม่กระทบกับเงินออมหรือรายจ่ายจำเป็น
ถ้าเพิ่งเริ่มทำงาน หรือมีรายได้ยังไม่มากนัก แล้วพบว่าสัดส่วน 50% สำหรับรายจ่ายจำเป็นยังไม่พอ อาจปรับลดในส่วนของความสุขส่วนตัวลงชั่วคราว
เพื่อให้เราใช้ชีวิตได้อย่างไม่ติดขัดระหว่างรอให้รายได้เติบโต หรือค่อย ๆ ปรับลดรายจ่ายหลักในระยะยาว เพราะการบริหารเงินที่ดี ไม่มีสูตรตายตัว แต่คือการปรับตามเงื่อนไขชีวิตให้เหมาะกับจังหวะของตัวเอง
20% เงินออมและชำระหนี้ — เพื่อความมั่นคงในระยะยาว
ส่วนสุดท้ายและเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดคือการออมและการชำระหนี้ เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยให้เป้าหมายในอนาคตกลายเป็นจริง โดยคำว่า "หนี้" ในที่นี้ หมายถึงหนี้ระยะสั้น เช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล หรือหนี้ที่สามารถทยอยชำระให้หมดได้ในระยะเวลาไม่ยาวมาก ส่วนหนี้ระยะยาว เช่น หนี้บ้านหรือหนี้รถ มักถูกจัดอยู่ในกลุ่มค่าใช้จ่ายจำเป็น ซึ่งอยู่ในสัดส่วน 50% แรกของสูตร ไม่ว่าจะเป็นบ้าน รถ เงินสำรองยามฉุกเฉิน หรือการเกษียณอายุ
บางคนอาจมองว่า 20% ดูเยอะ แต่เมื่อตั้งใจจริงและฝึกเก็บเงินตั้งแต่วันนี้ ต่อให้เริ่มจาก 5% แล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ก็ยังถือว่าเป็นก้าวที่คุ้มค่า หรือจะตั้งระบบโอนอัตโนมัติเพื่อช่วยตัดเงินเข้าในส่วนเงินออมทันทีหลังรับรายได้ ก็ยิ่งง่ายที่จะทำให้การออมกลายเป็นนิสัย
สำหรับคนที่มีภาระหนี้ การนำส่วนนี้ไปทยอยชำระหนี้ให้หมดเร็วขึ้น ก็ช่วยลดภาระดอกเบี้ย และทำให้มีพื้นที่เหลือที่จะใช้ชีวิตได้คล่องตัวมากขึ้น
แล้วถ้ารายได้ไม่แน่นอนล่ะ?
สำหรับคนที่มีรายได้ไม่แน่นอน เช่น ฟรีแลนซ์ หรือเจ้าของกิจการ สูตรนี้ยังใช้ได้ เพียงแต่ต้องคำนวณจาก “รายได้เฉลี่ยต่อเดือน” หรือ “เดือนที่รายได้ต่ำที่สุด” เพื่อให้มีความปลอดภัยในการวางแผน ยิ่งในสถานการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ การมีวินัยในการแบ่งเงินตาม วิธีบริหารเงิน แบบ 50 30 20 จะช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินในระยะยาวได้มาก
อ่านจบแล้ว ลงมือทำได้เลย
สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่การเข้าใจแนวคิด 50 30 20 แต่คือการลงมือทำอย่างจริงจัง ถ้าไม่เคยลองจัดสรรเงินเลย มาเริ่มต้นโดยจดบันทึกรายจ่ายในแต่ละเดือนก่อน ลองใช้แอปพลิเคชันจัดการเงิน จดใส่ Excel หรือสมุดบันทึกก็ได้ เมื่อจดแล้วจะเห็นสัดส่วนเงินที่ใช้จ่ายในปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร จากนั้นให้ปรับลดรายจ่ายหรือเพิ่มรายได้ให้เข้าใกล้สูตรนี้มากขึ้น
หรือจะข้ามไปจัดสรรเงินก่อน โดยรวมรายรับเป็นก้อนเดียว และแบ่งให้ตัวเองลองใช้จ่ายตามสูตร 50 30 20 ดู เพื่อให้เห็นภาพรวมของเงินที่มี ถ้าใช้ไม่พอให้ลองติดตามการใช้จ่ายดูว่ารายจ่ายไปหนักอยู่ที่ส่วนไหน และลองปรับให้เป็นสูตรที่เหมาะกับเราเพื่อความยืดหยุ่น แต่อย่าลืมกันส่วนสำหรับออมเงินไว้ด้วยนะ
ปรับใช้ตามเงื่อนไขชีวิต
การที่ควบคุมการใช้เงินได้ก็เหมือนมีพลังในการจัดการอนาคตมากขึ้น วิธีบริหารเงิน ด้วยสูตร 50 30 20 เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้ใช้จ่ายอย่างมีเป้าหมาย ออมเงินได้อย่างสม่ำเสมอ และมีชีวิตที่ดีขึ้นแบบยั่งยืน
อย่าลืมว่าการเงินที่ดี เริ่มจากการเข้าใจตัวเอง สูตร 50 30 20 เป็นเพียงตัวช่วยเริ่มต้น ที่เมื่อนำไปใช้จริงแล้วอาจพบว่าไม่จำเป็นต้องทำตามเป๊ะ ๆ แต่สามารถปรับสัดส่วนให้ยืดหยุ่นตามเงื่อนไขชีวิตได้ สิ่งที่สำคัญกว่าคือความมีวินัย และการทำได้จริงในระยะยาว และเมื่อได้เริ่มต้นทำแล้ว สิ่งแรกที่จะได้รับ คือความสบายใจในการใช้เงิน เพราะได้วางแผนจัดเตรียมทุกอย่างสำหรับอนาคตไว้แล้ว ไม่ต้องกลัวไม่มีเงินเก็บอีกต่อไป