เทคนิคลดรายจ่ายได้ง่าย ๆ ด้วยการแยก Need กับ Want

หลายคนอยากเริ่มลดรายจ่ายและตั้งใจจะเก็บเงินก้อนให้ได้ แต่สุดท้ายก็แพ้ใจตัวเองทุกที แถมเงินในบัญชีลดลงแล้วก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าใช้เงินไปกับอะไรบ้าง ทั้งที่ไม่ได้ซื้ออะไรใหญ่โต พอสิ้นเดือนถึงได้รู้ว่าเผลอใช้ไปกับของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่รวมกันแล้วบานปลาย วิธีหนึ่งที่ช่วยให้จัดการเรื่องนี้ได้อย่างมีระบบ คือการแยกความต้องการออกเป็น "Need" – จำเป็น กับ "Want" – อยากได้ ให้ชัดเจน

เทคนิคนี้ดูเหมือนง่าย แต่หลายคนยังแยกไม่เป็น หรืออาจจะเผลอใช้ความรู้สึกนำเหตุผล ลองมาดูกันว่า ถ้าอยากลดรายจ่าย แบบที่ไม่ต้องอด ต้องฝืน ต้องเครียด ควรเริ่มยังไงบ้าง

Need VS Want แค่แยกให้ถูก ชีวิตก็เบาขึ้น

ก่อนจะเริ่มต้น ขอชวนมาเข้าใจความแตกต่างกันก่อน คำว่า "Need" คือค่าใช้จ่ายสำหรับสิ่งจำเป็นในชีวิตที่เราต้องใช้ หรือขาดไม่ได้ เช่น ค่าอาหาร ค่าที่พัก ค่าเดินทาง ค่าหมอหรือค่ายา ส่วน "Want" คือการใช้จ่ายไปกับสิ่งที่เราอยากได้ แต่อยู่ได้ถ้าไม่มีหรือไม่ซื้อ เช่น กาแฟหรือชานมแก้วละร้อย กล่องจุ่ม เสื้อผ้าหรือกระเป๋าแฟชั่น โทรศัพท์รุ่นใหม่ที่อัปเดตทุกปี

หนึ่งในวิธีแยก Need กับ Want ที่ใช้ได้ดี คือการสังเกตว่าความต้องการนั้นจำเป็นจริง ๆ หรือเป็นแค่การตอบสนองต่ออารมณ์ชั่ววูบ เช่น ความอยาก ความเบื่อ ความเครียด เพื่อนชวน หรือการถูกกระตุ้นจากสิ่งเร้าภายนอกอย่างโฆษณา

จากงานวิจัยของ Kahneman และ Tversky (1979) เรื่อง Prospect Theory ชี้ให้เห็นว่า มนุษย์มักตัดสินใจใช้เงินจากอารมณ์และบริบทมากกว่าเหตุผลเสมอ การได้หยุดคิดเพียงเล็กน้อย จะช่วยให้แยกแยะและตัดสินใจได้แม่นยำขึ้น


ลองถามตัวเองก่อนจ่ายทุกครั้ง:


  • ถ้าไม่ซื้อสิ่งนี้ ชีวิตจะมีปัญหาไหม? 
  • ใช้ของที่มีอยู่แล้วได้หรือเปล่า?
  • เป็นสิ่งจำเป็น หรือเป็นรางวัลให้ตัวเอง?
  • ถ้าไม่มีใครเห็นหรือรู้ว่าเราซื้อสิ่งนี้ เรายังอยากได้อยู่ไหม?


และเพื่อให้เข้าใจชัดขึ้น มาลองทำแบบทดสอบกัน:

Q1: เติมน้ำมันรถเพื่อขับไปทำงาน — Need หรือ Want?
Need — เป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตและการทำงาน

Q2: สมัครฟิตเนสเพราะเพื่อนชวน แม้ยังไม่ได้วางแผนไปออกกำลังกายจริงจัง — Need หรือ Want?
Want — เพราะเกิดจากแรงจูงใจภายนอก และยังไม่มีความจำเป็นในตอนนั้น

Q3: ซื้อโทรศัพท์มือถือใหม่แทนของเก่าที่เริ่มช้า หน้าจอมีค้างบ้างแต่ยังใช้งานได้โอเคอยู่ — Need หรือ Want?
ให้ลองนอนคิดสัก 2-3 วัน อาจจะเป็นได้ทั้ง Want — หากโทรศัพท์ยังใช้งานได้ดี ปัญหาเล็กน้อยของโทรศัพท์อาจจะนำไปส่งซ่อมเพื่อแก้ได้ หรือ Need — หากอายุการใช้งานของโทรศัพท์ค่อนข้างนาน และปัญหาของโทรศัพท์กระทบกับการทำงาน เราสามารถฝึกตั้งคำถามแบบนี้เพื่อช่วยให้แยกแยะและตัดสินใจได้แม่นยำขึ้น ทำให้เรากลับมาควบคุมรายจ่าย แทนที่จะปล่อยให้รายจ่ายควบคุมเรา


4 เทคนิคจัดลำดับ Need หรือ Want แบบไม่กดดันตัวเอง



1. ทำลิสต์ค่าใช้จ่ายรายเดือน

เริ่มจากเขียนทุกอย่างที่จ่ายออกไปในเดือนที่ผ่านมา โดยแยกเป็นสองหมวด: รายจ่ายจำเป็น (Need) กับรายจ่ายฟุ่มเฟือย (Want) จะใช้วิธีจดมือในสมุด หรือโหลดแอปรายรับ-รายจ่าย หรือทำตารางง่าย ๆ บน Excel ก็ได้

จากนั้นใส่เหตุผลประกอบในแต่ละรายการ เช่น "ต้องใช้ทุกวัน" หรือ "เพื่อความสะดวก" แล้วลองทบทวนว่าเหตุผลนั้นอยู่ในหมวดจำเป็น หรือเป็นความรู้สึกชั่ววูบหรือเกิดจากแรงกระตุ้นบางอย่าง ซึ่งบางครั้งเราอาจให้เหตุผลกับตัวเองเพื่อสนับสนุนสิ่งที่อยากได้ โดยไม่ทันสังเกตว่าจริง ๆ แล้วสิ่งนั้นไม่ได้จำเป็น วิธีนี้จะช่วยให้แยก Need กับ Want ได้ชัดขึ้นและซื่อสัตย์กับตัวเองมากขึ้น

2. ลองคำนวณสัดส่วน
โดยทั่วไป สัดส่วนที่แนะนำคือ Need 50% Want 30% และ 20% สำหรับการออมหรือเป้าหมายทางการเงิน หรือที่เรียกกันว่า "สูตร 50/30/20" ซึ่งเป็นแนวทางเบื้องต้นในการวางแผนการเงินอย่างเป็นระบบ ซึ่งสูตรนี้เราปรับให้ยืดหยุ่นได้ตามไลฟ์สไตล์ สิ่งสำคัญคือรู้ว่าใช้ไปกับอะไร และรู้สึกดีกับการใช้จ่ายนั้น ไม่ใช้จ่ายเกินตัวจนไม่มีความสุข

ลองดูว่าในแต่ละเดือน เราใช้เงินไปกับ Want เท่าไร เช่น ถ้าเรามีรายรับ 20,000 บาท แต่ใช้เงิน 8,000 บาทไปกับ Want จะคิดเป็น 40% ของรายรับ ซึ่งเป็นสัดส่วนที่เกินจากแนวทางที่แนะนำ นี่อาจเป็นสัญญาณให้ลองปรับสัดส่วน เพื่อให้กลับมาอยู่ในจุดที่สมดุลขึ้น

3. ตั้งเป้าลดทีละนิด
ไม่จำเป็นต้องหักดิบตัดทุก Want ทิ้งในทันที เพราะชีวิตไม่ใช่แค่การเอาตัวรอด แต่บางครั้งเราก็ต้องให้พื้นที่กับตัวเองบ้าง เพื่อฮีลใจและเติมความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิต ไม่ให้การจัดการด้านการเงินกลายเป็นสิ่งที่กดดันจนเกินไป

ลองตั้งเป้า เช่น “ลดค่า Want จาก 30% เหลือ 20% ในเดือนหน้า” หรือค่อย ๆ ลดลงทีละ 5% ทุกเดือน เช่น เดือนนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 30% เดือนหน้าเหลือ 25% แล้วค่อยปรับไปที่ 20% วิธีนี้จะช่วยให้ปรับตัวได้ง่ายขึ้น ไม่รู้สึกว่าต้องตัดสิ่งที่ชอบทิ้งทันที และยังรักษาความสุขเล็ก ๆ ระหว่างทางได้ด้วย

4. ใช้กฎ 3 วันก่อนซื้อของใหญ่
ถ้าเจอของที่อยากได้มาก โดยเฉพาะเวลาเห็นโปรลดราคาจากร้านค้าออนไลน์ หรือแคมเปญลดแรงประจำเดือนต่าง ๆ อย่าเพิ่งรีบกดใส่ตะกร้า ให้บอกตัวเองว่า "ขอเวลา 3 วัน ถ้ายังอยากได้อยู่ค่อยซื้อ" เพราะถ้าเป็นของที่จำเป็นจริง ๆ หรือเป็นของที่เราต้องใช้ เราจะต้องกลับมาซื้ออยู่ดีแม้เวลาผ่านไป แต่ถ้าเป็นแค่ความรู้สึกชั่ววูบ ความอยากได้จะค่อย ๆ จางลงเอง วิธีนี้ช่วยกรองความต้องการออกจากอารมณ์ได้ดีมาก

มีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยจอร์จ เมสัน (George Mason University) ในสหรัฐอเมริกาที่พบว่า การให้เวลาคิดทบทวนก่อนตัดสินใจซื้อของ สามารถช่วยลดการใช้จ่ายแบบไม่ไตร่ตรองได้ถึง 30%

และถึงจะพบกับโปรโมชันแบบจำกัดเวลา ก็ไม่ต้องกังวลว่าเราจะต้องรีบซื้อตอนนี้ เพราะส่วนลดมีมาเรื่อย ๆ สิ่งสำคัญคือ มั่นใจว่าของราคาแพงที่กำลังจะซื้อนั้น ได้ผ่านการคิดแล้วจริง ๆ ว่าเราอยากได้เพราะจำเป็น หรือแค่รู้สึกอยากตามอารมณ์



เปลี่ยนวิธีคิด = เปลี่ยนวิธีใช้เงิน

เริ่มจากการปรับความคิดก่อนว่าเราไม่ได้จะ "ประหยัด" เพื่อทรมานตัวเอง แต่เรากำลังเลือกใช้เงินให้ตรงกับคุณค่าที่เราต้องการจริง ๆ

ลองเปลี่ยนจากคำว่า “ต้องประหยัด” เป็น “อยากใช้เงินให้คุ้มค่า” เพราะคำว่า "ประหยัด" มักทำให้รู้สึกเหมือนต้องอด ในขณะที่คำว่า "คุ้มค่า" ทำให้รู้สึกเหมือนได้กำไรจากการตัดสินใจ

อยากกินกาแฟแบรนด์ดัง? ถ้ารู้ว่าซื้อแล้วจะไม่รู้สึกผิด ไม่กระทบแผนการเงิน และยังเหลือเงินสำหรับสิ่งจำเป็น ก็ซื้อได้เลย เพราะสุดท้ายการลดรายจ่ายที่ดี ไม่ใช่การตัดทุกอย่างทิ้ง แต่คือการรู้ว่าเราควรให้คุณค่ากับอะไร

เมื่อรู้ว่าอะไรสำคัญ ชีวิตการเงินก็มีความสุข

การจัดลำดับ Need และ Want ไม่ใช่เรื่องของการห้ามตัวเอง แต่เป็นการช่วยให้เราเข้าใจตัวเองให้มากขึ้น เมื่อรู้ว่าอะไรจำเป็น อะไรแค่อยากได้ตามอารมณ์ จะทำให้เราตัดสินใจทางการเงินได้ดีขึ้น เครียดน้อยลง รายจ่ายก็ลดได้อย่างยั่งยืน เพราะสุดท้ายการเงินที่ดี ไม่ได้เริ่มจากการมีเงินเยอะ แต่เริ่มจากการรู้ว่าเงินควรไปอยู่ตรงไหนมากกว่า


เครื่องมือช่วยเหลือ

ธนาคารพร้อมให้คำปรึกษาและดูแลคุณ
ในทุกธุรกรรมทางการเงิน

เครื่องมือช่วยเหลือ

ธนาคารพร้อมให้คำปรึกษาและดูแลคุณในทุกธุรกรรมทางการเงิน

คุณกำลังจะออกจากเว็บไซต์ธนาคารกรุงเทพ